เช้าวันนั้นท้องฟ้าโปร่งใส สายลมพัดเอื่อยรินมาจากท้องทะเล นานแล้วที่ผมไม่ได้ลงมาเยี่ยมบ้านเกิด เลยถือโอกาสปั่นจักรยานคันเก่าของพ่อออกไปพบปะญาติพี่น้องคนแก่คนเฒ่าที่รู้จักมักคุ้น เลาะเลียบถนนริมหาดไปเรื่อยๆ กลางแสงแดดอุ่นที่สาดส่องผ่านดงมะพร้าวลงมารำไร ผมหยุดอยู่ครู่หนึ่งเมื่อถึงสะพานข้ามคลอง ซึ่งมีประตูระบายน้ำกั้นระหว่างน้ำเค็มกับน้ำจืดมาบรรจบกัน สองฝั่งคลองดกหนาไปด้วยต้นจากและลำพูแผ่กิ่งก้านเขียวไสว ผมขี่ห่างชายหาดออกไปไม่นานก็ถึงบ้านลุงผาด ญาติสนิทที่ผมชอบไปเล่นเมื่อตอนเด็กๆ รอบๆ บ้านมีฝรั่ง มะขาม มะยมให้เราปีนป่ายขึ้นไปเก็บกิน
“หายหน้าหายตาไปเสียนานเลยนะ เมื่อไหร่จะย้ายกลับลงมาสอนบ้านเราบ้างล่ะ” ลุงผาดทักทาย เมื่อผมเลี้ยวรถจักรยานเข้าไปจอดในรั้วบ้าน
“ทำเรื่องมาสองครั้งแล้ว ชวดทุกที” ผมนั่งลงข้างๆ เอามือลูบแขนของแกไปมาแบบสนิทชิดเชื้อ “กลับเที่ยวนี้จำหมู่บ้านของตัวเองแทบไม่ได้ ไม่น่าเชื่อ ลุงไม่คิดร่ำคิดรวยกับเขาบ้างหรือ”
ผมกระเซ้าเย้าแหย่ เพราะผ่านมามีบ้านก่ออิฐงามๆ โผล่ขึ้นมาแทนบ้านไม้โกโรโกโสริมทางหลายหลัง ผิดกับบ้านผมและบ้านลุงผาดยังเก่าโทรมเหมือนเดิม
ถ้าย้อนอดีต เดิมทีที่ดินบริเวณนี้เป็นทุ่งข้าวเขียวสะบัดใบเริงระบำกับสายลม ยามนั่งเรือหางยาวล่องไปตามลำคลองในฤดูน้ำหลาก สัมผัสถึงกลิ่นหอมของใบข้าวโชยฉ่ำเข้าจมูก ผมจำได้ว่าตอนที่เจ้าหน้าที่กรมประมงเข้ามาทดลองเลี้ยงกุ้งกุลาดำในหมู่บ้านแห่งนี้จนได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ ปีนั้นแหละเป็นเหตุให้ที่นาซึ่งอยู่เหนือชายหาดราคาพุ่งพรวดพราดขึ้นมายิ่งกว่าทองคำ มันถูกขายให้นายทุนต่างถิ่นที่แห่กันมากว้านซื้อเพื่อเอาไปทำนากุ้งกันเป็นล่ำเป็นสัน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันโรงงานผลิตอาหารกุ้งกุลาดำก็เข้ามาตั้งไม่ห่างจากบ้านผมมากนัก
“กูไม่เอาด้วยหรอก อยู่ดีไม่ว่าดี เอาเงินไปหว่านให้กุ้งกินเล่น เจ๊งมาหลายรายแล้ว” ลุงผาดดีดบุหรี่ใบจากที่อยู่ในมือหวือไปที่ลานดิน แล้วร่ายยาวถึงความพินาศฉิบหายอันเกิดจากผลพวงของการทำนากุ้งให้ผมฟังเสียยกใหญ่ เจอปัญหาสารพัดอย่าง บ้างเลี้ยงไม่ถูกวิธี กุ้งเป็นโรค โตไม่ได้ขนาด แถมถูกกดราคา บางคนขาดทุนหมดเนื้อหมดตัวต้องขายนากุ้งตัวเองให้นายทุนเจ้าของโรงงาน ซึ่งมีระบบการเลี้ยงที่ดีกว่า เพราะมีการจ้างนักวิชาการมาวิจัยและดูแลอย่างใกล้ชิด ปล่อยให้คนเลี้ยงเดิมกลายเป็นลูกจ้างแลกค่าแรงไปวันๆ
ทุกวันความสุขสงบของคนในหมู่บ้านริมทะเลเริ่มเลือนหายไป หลายครอบครัวยิ่งหดหู่หัวใจหมดเรี่ยวหมดแรงเมื่อเห็นรวงข้าวเมล็ดลีบลง ใบเหี่ยวเฉาเหมือนตายนึ่ง เพราะโดนพิษน้ำเค็มจากนากุ้งเล่นงาน บางทีโคลนเลนที่เขาโกยขึ้นมาจากก้นบ่อหลังจับเสร็จ มันมีสารเคมีตกค้างจากกากอาหารกุ้ง ลามไหลเข้านาใคร นาคนนั้นก็กลายเป็นดินเค็ม ขนาดต้นตาลข้างคันนายังยืนตายแห้ง แล้วต้นข้าวจะเหลืออะไร เรื่องนี้เจ้าของนาในละแวกนั้นรวมกลุ่มกันเข้าร้องเรียนนายอำเภอ หวังให้ช่วยแก้ไขปัญหา แต่กลับถูกเมินเฉย
“ไม่มีใครลงมารับผิดชอบเลยหรือลุง” ผมถามเปรยๆ อยากรู้อะไรเพิ่มเติม
“นี่จะเข้าสองปีแล้ว ไม่เห็นใครมาเหลียวแล แถมส่งคนมากล่อมให้เราหยุดร้องเรียน พ่อเอ็งนั่นแหละถูกหมายหัว เพราะเป็นตัวตั้งตัวตี พวกนั้นขู่ว่าสักวันจะได้กินลูกปืน”
ผมนึกแปลกใจ ไม่เห็นพ่อปริปากให้รับรู้สักนิด กลับจากบ้านลุงผาด ผมถึงได้สอบถามความจริงในเรื่องนี้ พ่ออึกอักบอกเสียงอ่อย ไม่อยากให้ผมพลอยลำบากใจ แม่แสดงอาการวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด แววตาของแม่เศร้าหม่นเหมือนคนอมทุกข์ ลำพังเรื่องความขัดสนจนยากในครอบครัวก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว นี่กลับมีเรื่องเลวร้ายถมทับเข้ามาอีก
การลงมาเยี่ยมบ้านครั้งนั้นทำให้ผมกลุ้มอกกลุ้มใจไม่แพ้กัน นึกสงสารพ่อกับแม่ที่ต้องมาเผชิญปัญหาแบบไม่คาดคิด ผมกลับขึ้นไปทำงานที่นครพนมอีกปีเดียวก็ทำเรื่องย้ายลงมาสอนหนังสือที่โรงเรียนใกล้บ้านอีกครั้ง ปีนั้นเหมือนโชคเข้าข้าง การขอย้ายของผมผ่านฉลุย ไม่ต้องออกแรงวิ่งเต้นให้เปลืองเงินเปลืองทองแต่อย่างใด
ผมยิ่งตระหนักชัดเมื่อตอนลงมาอยู่ปักษ์ใต้กับพ่อแม่ นอกจากนาข้าวจะได้รับความเสียหายจากนากุ้งแล้ว มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกผะอืดผะอมทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้าไป กลิ่นเหม็นหื่นลอยมาปะทะจมูกในยามเช้า ดูจากทิศทางลมแล้วก็รู้ว่ามันมาจากโรงงานที่อยู่ใกล้บ้านของผมนั่นเอง พ่อบอกว่าช่วงใหม่ๆ ที่โรงงานผลิตอาหารกุ้งแห่งนี้มาตั้งยังไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่ แต่พอสองสามปีให้หลังชักส่งกลิ่นแรงขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นกลิ่นปลาป่น เหม็นเหมือนซากศพ หายใจเข้าปอดแต่ละทีอึดอัดแน่นหน้าอก เสียงเครื่องจักรเดินเครื่องทั้งวันทั้งคืน และปล่อยควันสีดำฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
“บ้านเราอากาศน่าบริสุทธิ์กว่านี้ นี่ต้องมาสูดกลิ่นเหม็นๆ ตลอดเวลา แล้วเรื่องที่พ่อเคยร้องเรียนไปวันก่อนล่ะ ไม่คืบหน้าเลยหรือ?” ผมออกปากถาม
“นายอำเภอคงโดนเงินยัดปากเข้าไปแน่ๆ เห็นเงียบกริบ หากไม่ได้ผล คราวนี้เห็นทีจะต้องร้องเรียนผู้ว่าฯ หรือระดับสูงขึ้นไปอีก ส่วนผู้ใหญ่บ้าน กำนันไม่ต้องพูดถึง มันเป็นพวกเดียวกับเสี่ยกิจเจ้าของโรงงาน ผู้ใหญ่สงค์คนหนึ่งล่ะที่เป็นลูกน้องของเสี่ยกิจ เป็นมือไม้ทุกอย่างเวลาโรงงานมีปัญหาเรื่องต่างๆ กับชาวบ้าน เขาจะส่งผู้ใหญ่สงค์มาเพื่อเจรจาต่อรอง”
แล้ววันหนึ่งรถกระบะคันหนึ่งแล่นเอื่อยเข้ามาจอดตรงหน้าบ้าน คนขับเปิดประตูแล้วเดินลงมาด้วยมาดมั่นอกมั่นใจ เขาคือผู้ใหญ่สงค์ผู้มีอิทธิพลกว้างขวางในตำบลนั่นเอง
“มาเจอครูพอดี อยากคุยธุระสักหน่อย” ผู้ใหญ่สงค์ทักเสียงห้าวๆ
“มีอะไรหรือครับ” ผมนึกฉงนใจ
ยังไม่ทันออกปากเชิญชวน ผู้ใหญ่ถือโอกาสนั่งลงบนม้าหินใต้ร่มไม้หน้าบ้าน แล้วร้องถามหาพ่อ บังเอิญวันนั้นพ่อเข้าไปทำธุระที่อำเภอเพื่อสอบถามความคืบหน้าเรื่องที่ตัวเองร้องเรียน
จากนั้นผู้ใหญ่สงค์ก็แจ้งความจำนงเป็นตัวแทนจะมาติดต่อขอซื้อที่ดินของเราที่อยู่ติดกับโรงงาน โดยให้เหตุผลว่าจะขยายกิจการแผนกส่งออกและรับซื้อกุ้งให้ครบวงจร
“การขยายธุรกิจสร้างความก้าวหน้าให้กับโรงงาน ไม่มีใครเขาว่าหรอก หากไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น” ผมบอกให้ผู้ใหญ่รับรู้
“ครูเข้าใจผิดไปแล้วล่ะ การมีโรงงานมาตั้งที่นี่มันมีประโยชน์แค่ไหน ครูน่าจะรู้ เมื่อก่อนแถวนี้เจริญซะเมื่อไหร่ ดูสิทุกวันนี้มีถนนลาดยาง ธุรกิจหลายอย่างก็ตามมา มีการจ้างแรงงาน ดีเสียอีกคนในหมู่บ้านไม่ต้องไปหางานทำในเมือง” เขาสาธยายคุณงามความดีที่โรงงานมีส่วนมาสร้างความเจริญให้กับชุมชนแห่งนี้
“ชาวบ้านเขารับทุกข์ ต้องทนดมกลิ่นเหม็นกันจนประสาทเสีย ทำไมไม่เคยคิดบ้างล่ะ?” ผมทักท้วง
“ครูไม่ต้องห่วง ทางโรงงานเขาไม่ได้นิ่งนอนใจ เตรียมรับมือกับปัญหาไว้แล้ว เสี่ยกิจรับปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้ดีที่สุด”
ผมมารู้จากพ่ออีกทีว่า เสี่ยกิจคงวางแผนให้ผู้ใหญ่เอาเงินมาฟาดหัวเรา หวังกลบเกลื่อนคำร้องเรียนซึ่งหนาหูขึ้นทุกวัน อีกอย่างทางการคงจี้ให้ทางเจ้าของโรงงานขจัดปัญหาให้เร็วที่สุด อีกสองวันถัดมา ผมเห็นผู้ใหญ่สงค์มาที่บ้านผมอีกครั้ง หวังเจรจาซื้อขายที่ดินกับพ่อ แต่พ่อไม่เล่นด้วย เลยต้องกลับออกไปด้วยความผิดหวังอีกรอบ
“ปลายเดือนนี้ พ่อได้ข่าวจากทางอำเภอมาว่ารัฐมนตรีจะเดินทางลงมารับทราบปัญหามลพิษของโรงงานอุตสาหรรมแถบชายฝั่งทะเลบ้านเรา เห็นว่าคนอื่นที่เดือดร้อนก็ร้องเรียนเรื่องนี้ไปเหมือนกัน”
คงจริงอย่างที่พ่อพูด เพราะทั้งนากุ้งและโรงงานส่งผลเสียหายให้คนที่อยู่อาศัยละแวกใกล้เคียงมานานเต็มที มีนักวิจัยเข้ามาสำรวจข้อเท็จจริงตั้งไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แต่ไม่เห็นเอามาปฏิบัติหรือแก้ปัญหาให้เกิดผลแต่อย่างใด มีอยู่วันหนึ่งหลังโรงเรียนเลิกผมขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านบ้านผู้ใหญ่สงค์ แกกวักมือเรียกให้หยุด แล้วบอกผมให้เข้าไปนั่งคุยกันสองต่อสองในบ้าน ตอนแรกผมนึกลังเล จะมาไม้ไหนอีกก็ไม่รู้ แต่เพื่อความกระจ่าง ผมจอดรถแล้วเดินตามเข้าไป เป็นครั้งแรกที่ผมได้เหยียบย่างเข้าบ้านผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลน่าเกรงขาม มันตั้งอยู่กลางดงมะพร้าว ผมรู้มาว่าแกเองก็มีนากุ้งตั้งหลายสิบไร่ ชีวิตสุขสบายกับเงินรายได้ในตำแหน่งที่ปรึกษาของโรงงาน
“ไอ้เรื่องที่พูดกันวันก่อน ถามหน่อยเถอะ พ่อของครูมีปัญหาอะไรถึงไม่ยอมขายที่ตรงนั้น” ผู้ใหญ่เปิดฉากเจรจา พลางร้องบอกลูกสาวให้เอาน้ำเย็นมารับแขก
“เรื่องนั้นต้องถามพ่อ เพราะโฉนดที่ดินไม่ได้เป็นชื่อผม”
“ที่เรียกครูมานั่งคุยด้วยก็ต้องการบอกเงื่อนไขให้ครูกับลุงพรได้สบายใจ รู้หรือเปล่าว่า ที่ตรงนั้นประเมินจากจำนวนเนื้อที่ทั้งหมดแล้วรวมทั้งตัวบ้าน ทางโรงงานเขาจะตีราคาให้หนึ่งล้าน พอใจไหม?” ผู้ใหญ่สงค์เปลี่ยนสีหน้าเป็นรอยยิ้ม เหมือนมองเห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม
“หมายความว่าให้เราออกไปอยู่ที่อื่นอย่างงั้นหรือ”
“ใช่ ให้หยุดต่อต้านและหยุดร้องเรียนด้วย” ผู้ใหญ่ร่างยักษ์เอนหลังพิงพนักโซฟาไม้มะค่าเป็นเงาวาววับ เขย่าขาตัวเองไปมา “รู้ไหมว่าโรงงานได้รับผลเสียหายแค่ไหน หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเอาข่าวเรื่องโรงงานสร้างปัญหามลพิษให้กับชุมชนไปเขียนเสียเละเทะ ขอร้องเถอะครูช่วยสักหน่อย ไปบอกลุงพรให้คิดดูใหม่อีกที ผมว่างานนี้พ่อครูมีแต่ได้กับได้ ตีราคาให้สูงขนาดนี้ ไม่เอาอีกก็โง่แล้ว”
ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อฟังเมื่อกลับมาถึงบ้าน พ่อโมโหระบายอารมณ์ออกมาดังลั่น “คนอย่างกู ซื้อไม่ได้หรอกโว้ย หนอยไอ้ผู้ใหญ่รับเศษเงินเขามา ทำตัวเป็นทาสรับใช้เขาจนลืมตัวลืมตีน”
ผู้ใหญ่สงค์คิดผิด เพราะคนอย่างพ่อไม่ใช่เห็นแก่เงินจนออกนอกหน้ารีบคว้าหมับเหมือนอย่างคนอื่น ความจริงทางโรงงานได้ยื่นข้อเสนอผ่านผู้ใหญ่มาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะรับลูกหลานของคนในครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อนเรื่องมลพิษต่างๆ อันเกิดจากโรงงานเข้าทำงาน บางคนเห็นดีเห็นงามรับข้อเสนอที่ว่านั้นด้วยความพอใจ แม้จะต้องดมกลิ่นเน่าต่อไปก็ตาม
“ใครจะยอมก็ยอมไป แต่กูไม่ยอม” พ่อชี้แจงและอธิบายว่าท่อระบายกลิ่นเหม็นของโรงงานตั้งอยู่ใกล้บ้านตัวเองมากกว่าบ้านของใครๆ จะเอาเงินนิดๆ หน่อยๆ มาแลกเป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้ “เราเกิดและโตที่นี่มาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย อยู่มาก่อนที่โรงงานแห่งนี้จะเข้ามาตั้งเสียอีก ไม่รู้จะหนีไปอยู่ไหน” พ่อหมายถึงว่าทางโรงงานต่างหากที่จะต้องช่วยแก้ปัญหาแบบถาวรให้กับชุมชน ไม่ใช่เข้ามาหวังแต่กอบโกยเงินอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนอื่น
อีกไม่กี่วันต่อมา ผู้ใหญ่สงค์ยังคงตามมายื่นข้อเสนออันใหม่ให้พ่อ เพราะเห็นว่าครอบครัวเราเป็นครอบครัวเดียวเท่านั้นที่ยังแข็งข้อไม่ยอมรับเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น แม้เงินจำนวนนั้นจะดูก้อนใหญ่ก็ตามที แต่นั่นหมายความว่ามันรวมทั้งผืนนาและตัวบ้านเก่าที่ทรุดโทรมของเราเข้าไปด้วย ก็ถือว่าไม่ได้มากมายอะไร พูดง่ายๆ ว่าเขาต้องการแก้ปัญหาโดยการขอซื้อที่ของเรา แล้วให้เราไปเผชิญชะตากรรมเอาเอง เขาอาจจะคิดว่ามีเงินเสียอย่างซื้ออะไรก็ได้หมด
“เอาหยั่งงี้ก็แล้วกัน เรามีทางเลือกให้อีกทาง หากลุงพรไม่ยอมออกจากบ้านหลังนี้ ทางโรงงานเขาจะรับลุงเข้าเป็นพนักงานคนหนึ่ง เป็นยามก็ได้ ให้กินเงินเดือนประจำทุกเดือน แต่มีข้อแม้ว่าให้ยุติการร้องเรียนทั้งหมด”
ผู้ใหญ่สงค์ยิ้มละไม การเจรจาต่อรองครั้งนี้น่าจะประสบผลสำเร็จแน่นอน อะไรๆ ที่วางแผนเอาไว้คงจะเป็นไปด้วยความราบรื่น แต่เขากลับผิดหวังอีกตามเคย เมื่อพ่อปฏิเสธข้อเสนออันนั้นอยู่ดี ท้ายที่สุดผู้ใหญ่ก็ต้องลุกเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์
และแล้วถึงวันที่รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีลงมาดูปัญหาและได้พบปะประชาชนที่ศาลากลางจังหวัด เช้าวันนั้นผมรวมกลุ่มไปกับเขาด้วย คอยเป็นกำลังใจให้พ่อและชาวบ้านอีกกลุ่มใหญ่ที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งจากกลิ่นเหม็นของโรงงานและนาข้าวที่ได้รับความเสียหาย บ้างก็เอาป้ายเขียนข้อความต่อต้านต่างๆ นานา หลังจากรัฐมนตรีชี้แจงและรับปากกับชาวบ้าน ผมเห็นพ่อปรี่เข้าไปหาทันทีพร้อมกับยื่นซองหนังสือร้องเรียนที่เตรียมมา พ่อพูดข้อคับข้องใจอะไรบางอย่างออกไป รัฐมนตรีพยักหน้าเหมือนรับปากจะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
และปัญหาทุกอย่างน่าจะจบลงด้วยดี หากทุกฝ่ายนำไปแก้ไขเยียวยา แววตาของพ่อวาวใส คล้ายเป็นแววแห่งความหวังครั้งใหม่….เนื้อหาในคำร้องเรียนคงสะดุดความรู้สึกเจ้าหน้าที่รัฐเข้าบ้าง เพราะหลายปีมาแล้วที่ชีวิตของผู้คนริมทะเลแห่งนี้มิได้รับการเหลียวแลแต่อย่างใด ไม่เพียงแต่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายรอบเท่านั้นที่ทรุดโทรม เหล่าลูกจ้างคนงานในโรงงานเองต้องมาเจอภัยร้ายจากการตายผ่อนส่งโดยไม่รู้ตัว บางคนเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินลมหายใจแบบเรื้อรัง บางคนเข้ามาทำงานได้ไม่กี่ปีก็จบชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง เพราะสูดเอาสารเคมีเข้าไปสะสมในร่างกายทุกวัน ฆาตกรเงียบเหล่านี้เหมือนมัจจุราชที่นำความพลัดพรากมาสู่ญาติพี่น้องอย่างน่าสะพรึงกลัว ลูกจ้างส่วนหนึ่งหวั่นวิตกถึงกับลาออกไปไม่อยากอยู่เผชิญกับความตาย
วันถัดมาหนังสือพิมพ์ช่วยกระพือข่าวเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง แน่นอนมันส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์ทางธุรกิจของโรงงานไม่น้อย เย็นวันรุ่งขึ้นลุงผาดก็โผล่มาที่บ้าน ดึงแขนพ่อเข้าไปในครัว คุยกันเงียบๆ สองคน ผมอ่านสีหน้าของคนทั้งสองไม่ออกว่าคุยเรื่องอะไรกัน ลุงผาดกลับไปแล้ว พ่อถึงเอ่ยให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า มีคนมาเตือนให้ระมัดระวังตัว
“ใครพ่อ?”
“แกน่าจะรู้ว่าเป็นใคร” พ่อบอกเสียงเครียดๆ ไม่พูดอะไรต่อ แล้วเดินออกไปนั่งตรงม้านั่งริมระเบียงหน้าบ้าน
ผมวาดหวังว่าคงมีอะไรได้รับการปรับปรุงแก้ไขขึ้นบ้าง แต่จนแล้วจนรอดเรื่องทั้งหมดก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆ ผมอยากรู้นักว่าระหว่างความรวยของพวกเถ้าแก่นายทุนกับชีวิตจนๆ ของชาวบ้านตาดำๆ อย่างเรา รัฐบาลจะเลือกเอาข้างไหน
แทนจะกลัวคำขู่ พ่อกลับเดินหน้าไม่ฟังใคร วันหนึ่งพ่อแต่งตัวเสียเรี่ยม ขึ้นรถประจำทางเข้าไปในตัวจังหวัดตั้งแต่เช้า กลับมาถึงบ้านเอาเกือบค่ำมืด ผมรู้ความจริงว่าพ่อไปหาทนายวุฒิหลายชายซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับผม พี่วุฒิตั้งสำนักงานทนายความอยู่ในเมือง หลังจากทราบความเดือดร้อน เขาก็ตกปากรับคำจะช่วยเหลือพ่อในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด พ่อกลับมาหน้าบานเมื่อพี่วุฒิยินดีเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรณีโรงงานทำละเมิดด้วยความเต็มใจ
“ผมจะเปิดโปงเรื่องนี้ในศาลให้สังคมรับรู้กันว่าโรงงานสร้างความเสียหายให้แก่สิ่งแวดล้อมและสภาพชีวิตของคนที่นี่อย่างไรบ้าง”
พี่วุฒิประกาศก้องต่อหน้าทุกๆ คนที่มาให้รายละเอียดในวันมาสอบถามและรวบรวมข้อเท็จจริงไปประกอบในสำนวนคดี “คงไม่นาน คดีนี้ก็จะขึ้นสู่ศาล แล้วทุกคนจะได้รับความเป็นธรรมเหมือนอย่างคดีละเมิดอื่นๆ ลุงช่วยเตรียมพยานบุคคลไว้หลายๆ ปากก็แล้วกัน ข้อเท็จจริงเรามีพร้อมแล้ว”
ในที่สุดคดีก็ขึ้นสู่ศาล แน่นอนผมเป็นคนหนึ่งในจำนวนพยานปากสำคัญที่ต้องไปให้การในวันนัดไต่สวน วันนั้นผมเห็นพี่วุฒิทำหน้าที่ได้สมศักดิ์ศรี ผมกับพ่อรู้สึกอุ่นใจหากคดีความเรื่องนี้จบลงด้วยดี แต่ใครจะคาดคิด ช่วงที่ผมกับพ่อขอติดรถกระบะของพี่วุฒิออกมาจากศาลประจำจังหวัด ขับมาได้สักระยะ ก็มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งบิดขึ้นมาเทียบข้าง คนซ้อนท้ายซึ่งใส่หมวกกันน็อกปิดหน้ามิดชิดสาดกระสุนใส่ทางด้านคนขับทะลุกระจกสามสี่นัด รถเสียหลักปัดเป๋แล้วทิ่มหัวลงข้างทางเกือบอัดกับเสาไฟฟ้า ผมเห็นพี่วุฒิฟุบคาพวงมาลัย เหลียวไปทางพ่อเห็นเลือดสดๆ รินอาบตรงหัวไหล่ขวา พอได้สติผมรีบเปิดล็อกผลักประตูรถออกไปทันที มอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวห้อตะบึงหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย สักพักก็โกลาหลด้วยกลุ่มไทยมุงที่มาดูกันด้วยความแตกตื่น เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนแหวกผู้คนเข้ามา จากนั้นร่างของพี่วุฒิก็ถูกหามขึ้นรถกระบะใจบุญคันหนึ่งอาสานำไปส่งโรงพยาบาล ผมประคองพ่อก้าวตามขึ้นไปด้วย พ่อไม่ได้บาดเจ็บมากนัก นอนรักษาตัวอยู่แค่สามวัน แต่พี่วุฒอาการหนักและถึงฆาตตั้งแต่วันนั้นแล้ว เพราะกระสุนเจาะเข้ากะโหลกเหนือกกหู หมดหนทางที่หมอจะยื้อลมหายใจของเขาเอาไว้ได้
ผมรู้ตัวดีว่านับแต่วันนั้นความปลอดภัยในชีวิตไม่มีอีกแล้ว เราอยู่กันอย่างหวาดผวา นึกเสียวสันหลังวาบทุกครั้งยามขี่รถไปกลับโรงเรียน นี่ถ้าพ่อยอมขายที่ให้โรงงานไปตั้งแต่ตอนแรกก็คงหมดเรื่องหมดราว ผมอาจไม่ต้องเจอความยุ่งยากแบบนี้ และพ่อก็ไม่ต้องถูกทางโรงงานเอาคนมาเล่นงาน
ญาติพี่น้องหลายคนพากันเป็นห่วงเป็นใย แม้แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ผมสอนยังมาบอกเตือนให้ระมัดระวังตัว เพราะเหตุการณ์มันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ “ดูๆ ก็อันตรายอยู่นะครู ผมไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหนหรอกนะ เตือนด้วยความเป็นห่วงมากกว่า” ผู้อำนวยการพูดถูก เพราะว่าเสี่ยกิจก็บริจาคเงินให้กับโรงเรียนไว้ไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งถ้าดูอีกมุมก็เหมือนสร้างภาพอวดความใจบุญสุนทานให้สังคมรับรู้เป็นหน้าฉาก แต่หารู้ไม่ว่าลึกลงไปในจิตใจอันแท้จริงก็คือการแสวงหากำไรระยะยาวในธุรกิจของตัวเอง….นั่นยิ่งทำให้ผมมองเห็นเงาทมิฬของอีกฝ่ายสยายปีกโอบคลุมเข้ามารอบด้าน
แต่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิดว่า จู่ๆ เช้าวันหนึ่งก็มีข่าวการตายของผู้ใหญ่สงค์ลือหึ่งไปทั้งตำบล ผมเองก็ไม่คาดคิดว่าแกจะถูกมือปืนมาดักซุ่มยิงตายคาเพิงพัก ขณะไปตรวจดูแลมิให้คนมาขโมยกุ้งในยามค่ำคืน
ทุกอย่างยังเป็นปมปริศนาในเบื้องหน้าเบื้องหลังของการตายครั้งนี้ แม้แต่ตำรวจก็ไม่อาจจับมือใครดมได้ แต่หลังวันเผาศพของผูใหญ่สงค์ผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วัน ผมเพิ่งตาสว่างเมื่อได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกันปากต่อปากอย่างหนาหูว่า ผู้ใหญ่สงค์ไปบีบราคาค่าที่ดินและบ้านของเราให้ต่ำกว่าความเป็นจริงแบบครึ่งต่อครึ่ง กะวางแผนแอบยักยอกไว้เอง ซึ่งพ่อไม่รู้อะไรกับเขาด้วยหรอก เสี่ยกิจคงจะระแคะระคายเรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบ เลยหาใครสักคนมาเล่นงานก็ได้ อีกอย่างจะได้ตัดตอนพยานไม่ให้ใครสาวถึงต้นตอว่าใครอยู่เบื้องหลังในฐานะผู้บงการฆ่าทนายวุฒิและพยายามฆ่าพ่อในคราวเดียวกัน
วันหนึ่ง ผมลองหยั่งใจพ่อดูอีกครั้ง เผื่อให้พ่อรามือลงบ้าง หลังรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
“เราจะเดินหน้ากันอย่างไรดีล่ะพ่อ คดีฟ้องโรงงานก็เพิ่งจะเริ่ม คดีใหม่ก็ตามมา”
พ่อทำเป็นหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินเสียงที่ผมพูด หันหน้ามองไปทางโรงงานเจ้าปัญหา ซึ่งมีกลิ่นเหม็นหื่นโชยมากัยสายลมในยามเช้า
“ตราบใดยังไม่ได้รับความเป็นธรรม พ่อก็จะสู้มันต่อไป”
ผมรู้สึกมืดมนมองไม่เห็นทางออกเหมือนกันว่าความเป็นธรรมยังมีอยู่ในสังคมนี้หรือเปล่า เพราะดูแล้วศัตรูของพ่อไม่ผิดอะไรกับยักษ์ปักหลั่น และมีเขี้ยวเล็บพร้อมจะขย้ำใครได้ทุกเวลา
หรือจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกอีกคนถึงจะได้รับในสิ่งที่พ่อเพรียกหา…?
————————————————
เนชั่นสุดสัปดาห์ , 18 ก.ย. 52
ใส่ความเห็น