Posted by: chaosinbooks | 04/10/2009

ความเป็นธรรมที่พ่อเรียกหา


เช้าวันนั้นท้องฟ้าโปร่งใส  สายลมพัดเอื่อยรินมาจากท้องทะเล  นานแล้วที่ผมไม่ได้ลงมาเยี่ยมบ้านเกิด  เลยถือโอกาสปั่นจักรยานคันเก่าของพ่อออกไปพบปะญาติพี่น้องคนแก่คนเฒ่าที่รู้จักมักคุ้น  เลาะเลียบถนนริมหาดไปเรื่อยๆ กลางแสงแดดอุ่นที่สาดส่องผ่านดงมะพร้าวลงมารำไร  ผมหยุดอยู่ครู่หนึ่งเมื่อถึงสะพานข้ามคลอง  ซึ่งมีประตูระบายน้ำกั้นระหว่างน้ำเค็มกับน้ำจืดมาบรรจบกัน  สองฝั่งคลองดกหนาไปด้วยต้นจากและลำพูแผ่กิ่งก้านเขียวไสว  ผมขี่ห่างชายหาดออกไปไม่นานก็ถึงบ้านลุงผาด  ญาติสนิทที่ผมชอบไปเล่นเมื่อตอนเด็กๆ  รอบๆ บ้านมีฝรั่ง มะขาม มะยมให้เราปีนป่ายขึ้นไปเก็บกิน

“หายหน้าหายตาไปเสียนานเลยนะ  เมื่อไหร่จะย้ายกลับลงมาสอนบ้านเราบ้างล่ะ” ลุงผาดทักทาย  เมื่อผมเลี้ยวรถจักรยานเข้าไปจอดในรั้วบ้าน

“ทำเรื่องมาสองครั้งแล้ว  ชวดทุกที” ผมนั่งลงข้างๆ  เอามือลูบแขนของแกไปมาแบบสนิทชิดเชื้อ  “กลับเที่ยวนี้จำหมู่บ้านของตัวเองแทบไม่ได้  ไม่น่าเชื่อ  ลุงไม่คิดร่ำคิดรวยกับเขาบ้างหรือ”

ผมกระเซ้าเย้าแหย่  เพราะผ่านมามีบ้านก่ออิฐงามๆ โผล่ขึ้นมาแทนบ้านไม้โกโรโกโสริมทางหลายหลัง  ผิดกับบ้านผมและบ้านลุงผาดยังเก่าโทรมเหมือนเดิม

ถ้าย้อนอดีต  เดิมทีที่ดินบริเวณนี้เป็นทุ่งข้าวเขียวสะบัดใบเริงระบำกับสายลม ยามนั่งเรือหางยาวล่องไปตามลำคลองในฤดูน้ำหลาก  สัมผัสถึงกลิ่นหอมของใบข้าวโชยฉ่ำเข้าจมูก ผมจำได้ว่าตอนที่เจ้าหน้าที่กรมประมงเข้ามาทดลองเลี้ยงกุ้งกุลาดำในหมู่บ้านแห่งนี้จนได้รับผลเป็นที่น่าพอใจ  ปีนั้นแหละเป็นเหตุให้ที่นาซึ่งอยู่เหนือชายหาดราคาพุ่งพรวดพราดขึ้นมายิ่งกว่าทองคำ  มันถูกขายให้นายทุนต่างถิ่นที่แห่กันมากว้านซื้อเพื่อเอาไปทำนากุ้งกันเป็นล่ำเป็นสัน  ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันโรงงานผลิตอาหารกุ้งกุลาดำก็เข้ามาตั้งไม่ห่างจากบ้านผมมากนัก

“กูไม่เอาด้วยหรอก  อยู่ดีไม่ว่าดี  เอาเงินไปหว่านให้กุ้งกินเล่น  เจ๊งมาหลายรายแล้ว” ลุงผาดดีดบุหรี่ใบจากที่อยู่ในมือหวือไปที่ลานดิน  แล้วร่ายยาวถึงความพินาศฉิบหายอันเกิดจากผลพวงของการทำนากุ้งให้ผมฟังเสียยกใหญ่  เจอปัญหาสารพัดอย่าง  บ้างเลี้ยงไม่ถูกวิธี  กุ้งเป็นโรค  โตไม่ได้ขนาด  แถมถูกกดราคา  บางคนขาดทุนหมดเนื้อหมดตัวต้องขายนากุ้งตัวเองให้นายทุนเจ้าของโรงงาน  ซึ่งมีระบบการเลี้ยงที่ดีกว่า  เพราะมีการจ้างนักวิชาการมาวิจัยและดูแลอย่างใกล้ชิด  ปล่อยให้คนเลี้ยงเดิมกลายเป็นลูกจ้างแลกค่าแรงไปวันๆ

ทุกวันความสุขสงบของคนในหมู่บ้านริมทะเลเริ่มเลือนหายไป  หลายครอบครัวยิ่งหดหู่หัวใจหมดเรี่ยวหมดแรงเมื่อเห็นรวงข้าวเมล็ดลีบลง  ใบเหี่ยวเฉาเหมือนตายนึ่ง  เพราะโดนพิษน้ำเค็มจากนากุ้งเล่นงาน  บางทีโคลนเลนที่เขาโกยขึ้นมาจากก้นบ่อหลังจับเสร็จ  มันมีสารเคมีตกค้างจากกากอาหารกุ้ง  ลามไหลเข้านาใคร  นาคนนั้นก็กลายเป็นดินเค็ม  ขนาดต้นตาลข้างคันนายังยืนตายแห้ง  แล้วต้นข้าวจะเหลืออะไร  เรื่องนี้เจ้าของนาในละแวกนั้นรวมกลุ่มกันเข้าร้องเรียนนายอำเภอ  หวังให้ช่วยแก้ไขปัญหา  แต่กลับถูกเมินเฉย

“ไม่มีใครลงมารับผิดชอบเลยหรือลุง” ผมถามเปรยๆ อยากรู้อะไรเพิ่มเติม

“นี่จะเข้าสองปีแล้ว  ไม่เห็นใครมาเหลียวแล  แถมส่งคนมากล่อมให้เราหยุดร้องเรียน  พ่อเอ็งนั่นแหละถูกหมายหัว  เพราะเป็นตัวตั้งตัวตี   พวกนั้นขู่ว่าสักวันจะได้กินลูกปืน”

ผมนึกแปลกใจ  ไม่เห็นพ่อปริปากให้รับรู้สักนิด  กลับจากบ้านลุงผาด ผมถึงได้สอบถามความจริงในเรื่องนี้  พ่ออึกอักบอกเสียงอ่อย  ไม่อยากให้ผมพลอยลำบากใจ  แม่แสดงอาการวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด  แววตาของแม่เศร้าหม่นเหมือนคนอมทุกข์  ลำพังเรื่องความขัดสนจนยากในครอบครัวก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว  นี่กลับมีเรื่องเลวร้ายถมทับเข้ามาอีก

การลงมาเยี่ยมบ้านครั้งนั้นทำให้ผมกลุ้มอกกลุ้มใจไม่แพ้กัน  นึกสงสารพ่อกับแม่ที่ต้องมาเผชิญปัญหาแบบไม่คาดคิด  ผมกลับขึ้นไปทำงานที่นครพนมอีกปีเดียวก็ทำเรื่องย้ายลงมาสอนหนังสือที่โรงเรียนใกล้บ้านอีกครั้ง  ปีนั้นเหมือนโชคเข้าข้าง  การขอย้ายของผมผ่านฉลุย  ไม่ต้องออกแรงวิ่งเต้นให้เปลืองเงินเปลืองทองแต่อย่างใด

ผมยิ่งตระหนักชัดเมื่อตอนลงมาอยู่ปักษ์ใต้กับพ่อแม่  นอกจากนาข้าวจะได้รับความเสียหายจากนากุ้งแล้ว  มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกผะอืดผะอมทุกครั้งที่สูดลมหายใจเข้าไป  กลิ่นเหม็นหื่นลอยมาปะทะจมูกในยามเช้า  ดูจากทิศทางลมแล้วก็รู้ว่ามันมาจากโรงงานที่อยู่ใกล้บ้านของผมนั่นเอง  พ่อบอกว่าช่วงใหม่ๆ ที่โรงงานผลิตอาหารกุ้งแห่งนี้มาตั้งยังไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่  แต่พอสองสามปีให้หลังชักส่งกลิ่นแรงขึ้นเรื่อยๆ  มันเป็นกลิ่นปลาป่น  เหม็นเหมือนซากศพ  หายใจเข้าปอดแต่ละทีอึดอัดแน่นหน้าอก  เสียงเครื่องจักรเดินเครื่องทั้งวันทั้งคืน และปล่อยควันสีดำฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ

“บ้านเราอากาศน่าบริสุทธิ์กว่านี้   นี่ต้องมาสูดกลิ่นเหม็นๆ ตลอดเวลา  แล้วเรื่องที่พ่อเคยร้องเรียนไปวันก่อนล่ะ  ไม่คืบหน้าเลยหรือ?” ผมออกปากถาม

“นายอำเภอคงโดนเงินยัดปากเข้าไปแน่ๆ  เห็นเงียบกริบ  หากไม่ได้ผล  คราวนี้เห็นทีจะต้องร้องเรียนผู้ว่าฯ  หรือระดับสูงขึ้นไปอีก  ส่วนผู้ใหญ่บ้าน  กำนันไม่ต้องพูดถึง  มันเป็นพวกเดียวกับเสี่ยกิจเจ้าของโรงงาน  ผู้ใหญ่สงค์คนหนึ่งล่ะที่เป็นลูกน้องของเสี่ยกิจ  เป็นมือไม้ทุกอย่างเวลาโรงงานมีปัญหาเรื่องต่างๆ กับชาวบ้าน  เขาจะส่งผู้ใหญ่สงค์มาเพื่อเจรจาต่อรอง”

แล้ววันหนึ่งรถกระบะคันหนึ่งแล่นเอื่อยเข้ามาจอดตรงหน้าบ้าน  คนขับเปิดประตูแล้วเดินลงมาด้วยมาดมั่นอกมั่นใจ  เขาคือผู้ใหญ่สงค์ผู้มีอิทธิพลกว้างขวางในตำบลนั่นเอง

“มาเจอครูพอดี   อยากคุยธุระสักหน่อย” ผู้ใหญ่สงค์ทักเสียงห้าวๆ

“มีอะไรหรือครับ” ผมนึกฉงนใจ

ยังไม่ทันออกปากเชิญชวน  ผู้ใหญ่ถือโอกาสนั่งลงบนม้าหินใต้ร่มไม้หน้าบ้าน  แล้วร้องถามหาพ่อ  บังเอิญวันนั้นพ่อเข้าไปทำธุระที่อำเภอเพื่อสอบถามความคืบหน้าเรื่องที่ตัวเองร้องเรียน

จากนั้นผู้ใหญ่สงค์ก็แจ้งความจำนงเป็นตัวแทนจะมาติดต่อขอซื้อที่ดินของเราที่อยู่ติดกับโรงงาน  โดยให้เหตุผลว่าจะขยายกิจการแผนกส่งออกและรับซื้อกุ้งให้ครบวงจร

“การขยายธุรกิจสร้างความก้าวหน้าให้กับโรงงาน  ไม่มีใครเขาว่าหรอก  หากไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น” ผมบอกให้ผู้ใหญ่รับรู้

“ครูเข้าใจผิดไปแล้วล่ะ  การมีโรงงานมาตั้งที่นี่มันมีประโยชน์แค่ไหน  ครูน่าจะรู้  เมื่อก่อนแถวนี้เจริญซะเมื่อไหร่   ดูสิทุกวันนี้มีถนนลาดยาง  ธุรกิจหลายอย่างก็ตามมา  มีการจ้างแรงงาน  ดีเสียอีกคนในหมู่บ้านไม่ต้องไปหางานทำในเมือง” เขาสาธยายคุณงามความดีที่โรงงานมีส่วนมาสร้างความเจริญให้กับชุมชนแห่งนี้

“ชาวบ้านเขารับทุกข์  ต้องทนดมกลิ่นเหม็นกันจนประสาทเสีย  ทำไมไม่เคยคิดบ้างล่ะ?” ผมทักท้วง

“ครูไม่ต้องห่วง  ทางโรงงานเขาไม่ได้นิ่งนอนใจ  เตรียมรับมือกับปัญหาไว้แล้ว  เสี่ยกิจรับปากว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้ดีที่สุด”

ผมมารู้จากพ่ออีกทีว่า  เสี่ยกิจคงวางแผนให้ผู้ใหญ่เอาเงินมาฟาดหัวเรา  หวังกลบเกลื่อนคำร้องเรียนซึ่งหนาหูขึ้นทุกวัน  อีกอย่างทางการคงจี้ให้ทางเจ้าของโรงงานขจัดปัญหาให้เร็วที่สุด  อีกสองวันถัดมา  ผมเห็นผู้ใหญ่สงค์มาที่บ้านผมอีกครั้ง  หวังเจรจาซื้อขายที่ดินกับพ่อ  แต่พ่อไม่เล่นด้วย  เลยต้องกลับออกไปด้วยความผิดหวังอีกรอบ

“ปลายเดือนนี้  พ่อได้ข่าวจากทางอำเภอมาว่ารัฐมนตรีจะเดินทางลงมารับทราบปัญหามลพิษของโรงงานอุตสาหรรมแถบชายฝั่งทะเลบ้านเรา  เห็นว่าคนอื่นที่เดือดร้อนก็ร้องเรียนเรื่องนี้ไปเหมือนกัน”

คงจริงอย่างที่พ่อพูด  เพราะทั้งนากุ้งและโรงงานส่งผลเสียหายให้คนที่อยู่อาศัยละแวกใกล้เคียงมานานเต็มที  มีนักวิจัยเข้ามาสำรวจข้อเท็จจริงตั้งไม่รู้กี่คนต่อกี่คน  แต่ไม่เห็นเอามาปฏิบัติหรือแก้ปัญหาให้เกิดผลแต่อย่างใด  มีอยู่วันหนึ่งหลังโรงเรียนเลิกผมขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านบ้านผู้ใหญ่สงค์  แกกวักมือเรียกให้หยุด  แล้วบอกผมให้เข้าไปนั่งคุยกันสองต่อสองในบ้าน  ตอนแรกผมนึกลังเล  จะมาไม้ไหนอีกก็ไม่รู้  แต่เพื่อความกระจ่าง  ผมจอดรถแล้วเดินตามเข้าไป  เป็นครั้งแรกที่ผมได้เหยียบย่างเข้าบ้านผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลน่าเกรงขาม  มันตั้งอยู่กลางดงมะพร้าว  ผมรู้มาว่าแกเองก็มีนากุ้งตั้งหลายสิบไร่  ชีวิตสุขสบายกับเงินรายได้ในตำแหน่งที่ปรึกษาของโรงงาน

“ไอ้เรื่องที่พูดกันวันก่อน  ถามหน่อยเถอะ  พ่อของครูมีปัญหาอะไรถึงไม่ยอมขายที่ตรงนั้น” ผู้ใหญ่เปิดฉากเจรจา  พลางร้องบอกลูกสาวให้เอาน้ำเย็นมารับแขก

“เรื่องนั้นต้องถามพ่อ  เพราะโฉนดที่ดินไม่ได้เป็นชื่อผม”

“ที่เรียกครูมานั่งคุยด้วยก็ต้องการบอกเงื่อนไขให้ครูกับลุงพรได้สบายใจ  รู้หรือเปล่าว่า  ที่ตรงนั้นประเมินจากจำนวนเนื้อที่ทั้งหมดแล้วรวมทั้งตัวบ้าน  ทางโรงงานเขาจะตีราคาให้หนึ่งล้าน  พอใจไหม?” ผู้ใหญ่สงค์เปลี่ยนสีหน้าเป็นรอยยิ้ม  เหมือนมองเห็นชัยชนะอยู่แค่เอื้อม

“หมายความว่าให้เราออกไปอยู่ที่อื่นอย่างงั้นหรือ”

“ใช่  ให้หยุดต่อต้านและหยุดร้องเรียนด้วย” ผู้ใหญ่ร่างยักษ์เอนหลังพิงพนักโซฟาไม้มะค่าเป็นเงาวาววับ  เขย่าขาตัวเองไปมา “รู้ไหมว่าโรงงานได้รับผลเสียหายแค่ไหน  หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเอาข่าวเรื่องโรงงานสร้างปัญหามลพิษให้กับชุมชนไปเขียนเสียเละเทะ  ขอร้องเถอะครูช่วยสักหน่อย  ไปบอกลุงพรให้คิดดูใหม่อีกที  ผมว่างานนี้พ่อครูมีแต่ได้กับได้  ตีราคาให้สูงขนาดนี้  ไม่เอาอีกก็โง่แล้ว”

ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อฟังเมื่อกลับมาถึงบ้าน  พ่อโมโหระบายอารมณ์ออกมาดังลั่น “คนอย่างกู ซื้อไม่ได้หรอกโว้ย  หนอยไอ้ผู้ใหญ่รับเศษเงินเขามา  ทำตัวเป็นทาสรับใช้เขาจนลืมตัวลืมตีน”

ผู้ใหญ่สงค์คิดผิด  เพราะคนอย่างพ่อไม่ใช่เห็นแก่เงินจนออกนอกหน้ารีบคว้าหมับเหมือนอย่างคนอื่น   ความจริงทางโรงงานได้ยื่นข้อเสนอผ่านผู้ใหญ่มาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะรับลูกหลานของคนในครอบครัวที่ได้รับความเดือดร้อนเรื่องมลพิษต่างๆ อันเกิดจากโรงงานเข้าทำงาน  บางคนเห็นดีเห็นงามรับข้อเสนอที่ว่านั้นด้วยความพอใจ  แม้จะต้องดมกลิ่นเน่าต่อไปก็ตาม

“ใครจะยอมก็ยอมไป  แต่กูไม่ยอม” พ่อชี้แจงและอธิบายว่าท่อระบายกลิ่นเหม็นของโรงงานตั้งอยู่ใกล้บ้านตัวเองมากกว่าบ้านของใครๆ  จะเอาเงินนิดๆ หน่อยๆ มาแลกเป็นเรื่องที่ยอมกันไม่ได้  “เราเกิดและโตที่นี่มาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายาย  อยู่มาก่อนที่โรงงานแห่งนี้จะเข้ามาตั้งเสียอีก  ไม่รู้จะหนีไปอยู่ไหน”  พ่อหมายถึงว่าทางโรงงานต่างหากที่จะต้องช่วยแก้ปัญหาแบบถาวรให้กับชุมชน  ไม่ใช่เข้ามาหวังแต่กอบโกยเงินอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนอื่น

อีกไม่กี่วันต่อมา  ผู้ใหญ่สงค์ยังคงตามมายื่นข้อเสนออันใหม่ให้พ่อ  เพราะเห็นว่าครอบครัวเราเป็นครอบครัวเดียวเท่านั้นที่ยังแข็งข้อไม่ยอมรับเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น  แม้เงินจำนวนนั้นจะดูก้อนใหญ่ก็ตามที  แต่นั่นหมายความว่ามันรวมทั้งผืนนาและตัวบ้านเก่าที่ทรุดโทรมของเราเข้าไปด้วย   ก็ถือว่าไม่ได้มากมายอะไร  พูดง่ายๆ ว่าเขาต้องการแก้ปัญหาโดยการขอซื้อที่ของเรา  แล้วให้เราไปเผชิญชะตากรรมเอาเอง  เขาอาจจะคิดว่ามีเงินเสียอย่างซื้ออะไรก็ได้หมด

“เอาหยั่งงี้ก็แล้วกัน  เรามีทางเลือกให้อีกทาง  หากลุงพรไม่ยอมออกจากบ้านหลังนี้  ทางโรงงานเขาจะรับลุงเข้าเป็นพนักงานคนหนึ่ง  เป็นยามก็ได้  ให้กินเงินเดือนประจำทุกเดือน  แต่มีข้อแม้ว่าให้ยุติการร้องเรียนทั้งหมด”

ผู้ใหญ่สงค์ยิ้มละไม  การเจรจาต่อรองครั้งนี้น่าจะประสบผลสำเร็จแน่นอน  อะไรๆ ที่วางแผนเอาไว้คงจะเป็นไปด้วยความราบรื่น  แต่เขากลับผิดหวังอีกตามเคย  เมื่อพ่อปฏิเสธข้อเสนออันนั้นอยู่ดี  ท้ายที่สุดผู้ใหญ่ก็ต้องลุกเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์

และแล้วถึงวันที่รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีลงมาดูปัญหาและได้พบปะประชาชนที่ศาลากลางจังหวัด  เช้าวันนั้นผมรวมกลุ่มไปกับเขาด้วย  คอยเป็นกำลังใจให้พ่อและชาวบ้านอีกกลุ่มใหญ่ที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งจากกลิ่นเหม็นของโรงงานและนาข้าวที่ได้รับความเสียหาย  บ้างก็เอาป้ายเขียนข้อความต่อต้านต่างๆ นานา  หลังจากรัฐมนตรีชี้แจงและรับปากกับชาวบ้าน  ผมเห็นพ่อปรี่เข้าไปหาทันทีพร้อมกับยื่นซองหนังสือร้องเรียนที่เตรียมมา  พ่อพูดข้อคับข้องใจอะไรบางอย่างออกไป  รัฐมนตรีพยักหน้าเหมือนรับปากจะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่

และปัญหาทุกอย่างน่าจะจบลงด้วยดี  หากทุกฝ่ายนำไปแก้ไขเยียวยา  แววตาของพ่อวาวใส  คล้ายเป็นแววแห่งความหวังครั้งใหม่….เนื้อหาในคำร้องเรียนคงสะดุดความรู้สึกเจ้าหน้าที่รัฐเข้าบ้าง  เพราะหลายปีมาแล้วที่ชีวิตของผู้คนริมทะเลแห่งนี้มิได้รับการเหลียวแลแต่อย่างใด  ไม่เพียงแต่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายรอบเท่านั้นที่ทรุดโทรม  เหล่าลูกจ้างคนงานในโรงงานเองต้องมาเจอภัยร้ายจากการตายผ่อนส่งโดยไม่รู้ตัว  บางคนเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินลมหายใจแบบเรื้อรัง  บางคนเข้ามาทำงานได้ไม่กี่ปีก็จบชีวิตลงด้วยโรคมะเร็ง  เพราะสูดเอาสารเคมีเข้าไปสะสมในร่างกายทุกวัน  ฆาตกรเงียบเหล่านี้เหมือนมัจจุราชที่นำความพลัดพรากมาสู่ญาติพี่น้องอย่างน่าสะพรึงกลัว  ลูกจ้างส่วนหนึ่งหวั่นวิตกถึงกับลาออกไปไม่อยากอยู่เผชิญกับความตาย

วันถัดมาหนังสือพิมพ์ช่วยกระพือข่าวเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง  แน่นอนมันส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์ทางธุรกิจของโรงงานไม่น้อย  เย็นวันรุ่งขึ้นลุงผาดก็โผล่มาที่บ้าน  ดึงแขนพ่อเข้าไปในครัว  คุยกันเงียบๆ สองคน  ผมอ่านสีหน้าของคนทั้งสองไม่ออกว่าคุยเรื่องอะไรกัน  ลุงผาดกลับไปแล้ว  พ่อถึงเอ่ยให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า มีคนมาเตือนให้ระมัดระวังตัว

“ใครพ่อ?”

“แกน่าจะรู้ว่าเป็นใคร” พ่อบอกเสียงเครียดๆ ไม่พูดอะไรต่อ  แล้วเดินออกไปนั่งตรงม้านั่งริมระเบียงหน้าบ้าน

ผมวาดหวังว่าคงมีอะไรได้รับการปรับปรุงแก้ไขขึ้นบ้าง  แต่จนแล้วจนรอดเรื่องทั้งหมดก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆ  ผมอยากรู้นักว่าระหว่างความรวยของพวกเถ้าแก่นายทุนกับชีวิตจนๆ ของชาวบ้านตาดำๆ อย่างเรา  รัฐบาลจะเลือกเอาข้างไหน

แทนจะกลัวคำขู่  พ่อกลับเดินหน้าไม่ฟังใคร  วันหนึ่งพ่อแต่งตัวเสียเรี่ยม  ขึ้นรถประจำทางเข้าไปในตัวจังหวัดตั้งแต่เช้า  กลับมาถึงบ้านเอาเกือบค่ำมืด  ผมรู้ความจริงว่าพ่อไปหาทนายวุฒิหลายชายซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับผม  พี่วุฒิตั้งสำนักงานทนายความอยู่ในเมือง  หลังจากทราบความเดือดร้อน  เขาก็ตกปากรับคำจะช่วยเหลือพ่อในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด  พ่อกลับมาหน้าบานเมื่อพี่วุฒิยินดีเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรณีโรงงานทำละเมิดด้วยความเต็มใจ

“ผมจะเปิดโปงเรื่องนี้ในศาลให้สังคมรับรู้กันว่าโรงงานสร้างความเสียหายให้แก่สิ่งแวดล้อมและสภาพชีวิตของคนที่นี่อย่างไรบ้าง”

พี่วุฒิประกาศก้องต่อหน้าทุกๆ คนที่มาให้รายละเอียดในวันมาสอบถามและรวบรวมข้อเท็จจริงไปประกอบในสำนวนคดี “คงไม่นาน  คดีนี้ก็จะขึ้นสู่ศาล  แล้วทุกคนจะได้รับความเป็นธรรมเหมือนอย่างคดีละเมิดอื่นๆ ลุงช่วยเตรียมพยานบุคคลไว้หลายๆ ปากก็แล้วกัน  ข้อเท็จจริงเรามีพร้อมแล้ว”

ในที่สุดคดีก็ขึ้นสู่ศาล  แน่นอนผมเป็นคนหนึ่งในจำนวนพยานปากสำคัญที่ต้องไปให้การในวันนัดไต่สวน  วันนั้นผมเห็นพี่วุฒิทำหน้าที่ได้สมศักดิ์ศรี  ผมกับพ่อรู้สึกอุ่นใจหากคดีความเรื่องนี้จบลงด้วยดี  แต่ใครจะคาดคิด  ช่วงที่ผมกับพ่อขอติดรถกระบะของพี่วุฒิออกมาจากศาลประจำจังหวัด  ขับมาได้สักระยะ  ก็มีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งบิดขึ้นมาเทียบข้าง  คนซ้อนท้ายซึ่งใส่หมวกกันน็อกปิดหน้ามิดชิดสาดกระสุนใส่ทางด้านคนขับทะลุกระจกสามสี่นัด  รถเสียหลักปัดเป๋แล้วทิ่มหัวลงข้างทางเกือบอัดกับเสาไฟฟ้า   ผมเห็นพี่วุฒิฟุบคาพวงมาลัย  เหลียวไปทางพ่อเห็นเลือดสดๆ  รินอาบตรงหัวไหล่ขวา  พอได้สติผมรีบเปิดล็อกผลักประตูรถออกไปทันที  มอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวห้อตะบึงหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย  สักพักก็โกลาหลด้วยกลุ่มไทยมุงที่มาดูกันด้วยความแตกตื่น  เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนแหวกผู้คนเข้ามา  จากนั้นร่างของพี่วุฒิก็ถูกหามขึ้นรถกระบะใจบุญคันหนึ่งอาสานำไปส่งโรงพยาบาล   ผมประคองพ่อก้าวตามขึ้นไปด้วย  พ่อไม่ได้บาดเจ็บมากนัก  นอนรักษาตัวอยู่แค่สามวัน  แต่พี่วุฒอาการหนักและถึงฆาตตั้งแต่วันนั้นแล้ว  เพราะกระสุนเจาะเข้ากะโหลกเหนือกกหู  หมดหนทางที่หมอจะยื้อลมหายใจของเขาเอาไว้ได้

ผมรู้ตัวดีว่านับแต่วันนั้นความปลอดภัยในชีวิตไม่มีอีกแล้ว  เราอยู่กันอย่างหวาดผวา  นึกเสียวสันหลังวาบทุกครั้งยามขี่รถไปกลับโรงเรียน  นี่ถ้าพ่อยอมขายที่ให้โรงงานไปตั้งแต่ตอนแรกก็คงหมดเรื่องหมดราว  ผมอาจไม่ต้องเจอความยุ่งยากแบบนี้  และพ่อก็ไม่ต้องถูกทางโรงงานเอาคนมาเล่นงาน

ญาติพี่น้องหลายคนพากันเป็นห่วงเป็นใย  แม้แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ผมสอนยังมาบอกเตือนให้ระมัดระวังตัว  เพราะเหตุการณ์มันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ “ดูๆ ก็อันตรายอยู่นะครู  ผมไม่ได้เข้าข้างฝ่ายไหนหรอกนะ  เตือนด้วยความเป็นห่วงมากกว่า”  ผู้อำนวยการพูดถูก  เพราะว่าเสี่ยกิจก็บริจาคเงินให้กับโรงเรียนไว้ไม่น้อยเหมือนกัน  ซึ่งถ้าดูอีกมุมก็เหมือนสร้างภาพอวดความใจบุญสุนทานให้สังคมรับรู้เป็นหน้าฉาก  แต่หารู้ไม่ว่าลึกลงไปในจิตใจอันแท้จริงก็คือการแสวงหากำไรระยะยาวในธุรกิจของตัวเอง….นั่นยิ่งทำให้ผมมองเห็นเงาทมิฬของอีกฝ่ายสยายปีกโอบคลุมเข้ามารอบด้าน

แต่ไม่น่าเชื่อเลยสักนิดว่า  จู่ๆ  เช้าวันหนึ่งก็มีข่าวการตายของผู้ใหญ่สงค์ลือหึ่งไปทั้งตำบล  ผมเองก็ไม่คาดคิดว่าแกจะถูกมือปืนมาดักซุ่มยิงตายคาเพิงพัก  ขณะไปตรวจดูแลมิให้คนมาขโมยกุ้งในยามค่ำคืน

ทุกอย่างยังเป็นปมปริศนาในเบื้องหน้าเบื้องหลังของการตายครั้งนี้  แม้แต่ตำรวจก็ไม่อาจจับมือใครดมได้  แต่หลังวันเผาศพของผูใหญ่สงค์ผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วัน   ผมเพิ่งตาสว่างเมื่อได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกันปากต่อปากอย่างหนาหูว่า  ผู้ใหญ่สงค์ไปบีบราคาค่าที่ดินและบ้านของเราให้ต่ำกว่าความเป็นจริงแบบครึ่งต่อครึ่ง   กะวางแผนแอบยักยอกไว้เอง   ซึ่งพ่อไม่รู้อะไรกับเขาด้วยหรอก   เสี่ยกิจคงจะระแคะระคายเรื่องนี้เข้าโดยบังเอิญหรืออย่างไรไม่ทราบ  เลยหาใครสักคนมาเล่นงานก็ได้   อีกอย่างจะได้ตัดตอนพยานไม่ให้ใครสาวถึงต้นตอว่าใครอยู่เบื้องหลังในฐานะผู้บงการฆ่าทนายวุฒิและพยายามฆ่าพ่อในคราวเดียวกัน

วันหนึ่ง  ผมลองหยั่งใจพ่อดูอีกครั้ง  เผื่อให้พ่อรามือลงบ้าง  หลังรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด

“เราจะเดินหน้ากันอย่างไรดีล่ะพ่อ  คดีฟ้องโรงงานก็เพิ่งจะเริ่ม  คดีใหม่ก็ตามมา”

พ่อทำเป็นหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินเสียงที่ผมพูด  หันหน้ามองไปทางโรงงานเจ้าปัญหา  ซึ่งมีกลิ่นเหม็นหื่นโชยมากัยสายลมในยามเช้า

“ตราบใดยังไม่ได้รับความเป็นธรรม  พ่อก็จะสู้มันต่อไป”

ผมรู้สึกมืดมนมองไม่เห็นทางออกเหมือนกันว่าความเป็นธรรมยังมีอยู่ในสังคมนี้หรือเปล่า เพราะดูแล้วศัตรูของพ่อไม่ผิดอะไรกับยักษ์ปักหลั่น  และมีเขี้ยวเล็บพร้อมจะขย้ำใครได้ทุกเวลา

หรือจะต้องเอาชีวิตเข้าแลกอีกคนถึงจะได้รับในสิ่งที่พ่อเพรียกหา…?

————————————————

เนชั่นสุดสัปดาห์ , 18 ก.ย. 52


ใส่ความเห็น

หมวดหมู่