Posted by: chaosinbooks | 27/08/2010

กำแพงแห่งสายใย


(เรื่องสั้น)                          กำแพงแห่งสายใย 

         ————————————————————————–

                       

ผมทราบข่าวจากทางบ้านว่าปีนี้พ่อกับแม่จะเป็นเจ้าภาพทอดกฐินหาเงินเข้าวัดมาสร้างโบสถ์ที่ค้างคามานานหลายปี  ซองกฐินปึกใหญ่ที่ถูกส่งมาทางไปรษณีย์เมื่อสองสามวันก่อนผมได้เปิดอ่านดูแล้ว  ในนั้นมีรายชื่อลูกๆ หลาน ๆ  ลุง ป้า น้า อา และคนรู้จักมักคุ้นร่วมกันเป็นคณะกรรมการเรียงกันเป็นตับ   ผมเอาซองเหล่านั้นไปแจกเพื่อนๆ ในที่ทำงาน รวมทั้งเพื่อนร่วมซอย  หวังช่วยทำบุญกันตามกำลังศรัทธา          

            วานนี้เองพี่ศักดิ์พี่ชายคนโตก็โทร.มาจากหนองคายบอกว่าจะเดินทางลงมาในวันจันทร์ที่จะถึง  กะแวะบ้านผมที่เมืองนนท์ก่อนแล้วค่อยเดินทางลงใต้ไปพร้อมกัน  ผมได้โอกาสเหมาะขอติดรถพี่ชายไปด้วย เพราะรถยนต์เก่าของผมเครื่องมันรวนเต็มที  นครศรีธรรมราช  ระยะทางเจ็ดร้อยกว่ากิโลเมตรไม่ใช่น้อยๆ เลย ฝืนขับไป เกิดมันทรยศขึ้นมาระหว่างทางมีหวังซวยแน่ๆ  แต่ถึงอย่างไร ผมก็คลายกังวลไปได้เปลาะหนึ่งเมื่อหาทางออกให้ตัวเองสำเร็จ  แต่พอบอกกล่าวเรื่องนี้ให้ภรรยารับรู้เท่านั้นแหละ  สีหน้าและแววตาของเธอฉายความไม่พอใจออกมาแจ่มชัด

            “ไปรถทัวร์ยังดีเสียกว่า  อึดอัดใจเปล่าๆ  หากนั่งไปกับพี่เล็ก”

            คนที่เธอเอ่ยถึงก็คือพี่สะใภ้  ซึ่งภรรยาผมไม่อยากจะเข้าใกล้สักเท่าไหร่  เพราะรู้นิสัยพี่เล็กดีว่าชอบคุยโม้โอ้อวดแต่เรื่องเงินๆ ทองๆ และความอยู่ดีมีสุขของครอบครัวตัวเองจนคนฟังเขาพากันเอือมระอา

            “คิดมากไปได้  ทนๆ เอาหน่อยก็แล้วกัน” ผมเตือนสติภรรยาให้รู้จักข่มใจเอาไว้บ้าง  เป็นญาติพี่น้องกันจะไปถือโทษโกรธเคืองด้วยเรื่องคำพูดคำจาเล็กๆ น้อยๆ ก็กระไรอยู่

            ความจริงผมเองก็ใช่ว่าจะชอบนิสัยอวดร่ำอวดรวยของเธอนักหรอก  พี่เล็กคงเห็นเราเป็นข้าราชการเงินเดือนกระจอกงอกง่อย  จะไปสู้รายได้ของคนทำมาค้าขายได้อย่างไร  เธอเป็นเจ้าของร้านเฟอร์นิเจอร์ใหญ่โตอยู่ในตัวจังหวัด และยังมีหุ้นส่วนรับเหมาก่อสร้างอีกต่างหาก กิจการหลังนี้เป็นหน้าที่ของพี่ชายผมโดยตรงในการรับผิดชอบอย่างเต็มตัว  ดูแล้วในหมู่พี่น้องด้วยกัน ไม่มีใครมีฐานะเทียบเทียมพี่ศักดิ์ได้สักคน  ยิ่งพจน์น้องชายคนเล็ก  ซึ่งเป็นตำรวจตระเวนชายแดนยศแค่นายสิบ  เงินเดือนยิ่งน้อยกว่าผมอีก    

             จำได้ว่าเจอกันครั้งก่อนพี่สะใภ้ก็พูดคุยถึงฐานะความเป็นอยู่ของผม  น้ำเสียงฟังออกจะเหยียดๆ อยู่ในที “บอกแล้ว เป็นครูแล้วเมื่อไหร่จะรวย”

            “ผมไม่ได้หวังอะไรมากหรอกพี่  เอาแค่พออยู่พอกิน  ลูกเมียไม่อดอยากก็พอใจแล้ว”

            “วิทย์น่าจะหางานอย่างอื่นมาเสริมรายได้บ้าง  เช่นขายประกัน  ขายแอมเวย์  เห็นว่ารายได้ดี  บางคนทำยอดถึง  ได้ไปเที่ยวเมืองนอกเมืองนาเชียวนะ”

            “ผมไม่เอาด้วยหรอกขายของพวกนั้น  ยิ่งไม่ถนัด  ผมสอนพิเศษเด็กวันหยุดเสาร์อาทิตย์พอกล้อมแกล้ม  เป็นค่ากับข้าว  ค่าน้ำมันรถเท่านั้นแหละ” ผมบอกไปตามความจริง  

            ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องรายได้จะเป็นรอยแยกระหว่างความผูกพันในครอบครัวของเราได้  คล้ายเป็นกำแพงแห่งสายใยที่มองไม่เห็น         

            แต่ถึงอย่างไรในวันเดินทางผมกับภรรยาก็ต้องอาศัยรถพี่ชายไปอยู่ดี  พี่ศักดิ์ตีรถจากหนองคายลงมาตอนกลางคืนถึงนนทบุรีเอาตอนเช้าตรู่  แล้วแวะเข้ามารับผมในซอยริมแม่น้ำเจ้าพระยาย่านพระนั่งเกล้า ซึ่งเขาเคยมาเพียงครั้งเดียว   ผมแปลกใจไม่เห็นพี่เล็กนั่งมาด้วย  ตามปกติผัวเมียคู่นี้มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นประจำ 

            “พี่เล็กล่ะ?”

            พี่ชายนั่งหน้าขรึมอยู่หลังพวงมาลัย  ยิ้มแห้งๆ  ก่อนเอ่ยตอบ “ไม่มีคนเฝ้าร้าน”            ผมนึกตำหนิในใจ  คนอะไรทางบ้านเป็นเจ้าภาพทำบุญกฐินทั้งทียังเสียดายรายได้อยู่อีก

            “น่าจะหยุดรวยสักวันสองวัน  ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก” ผมเหน็บแนมทีเล่นทีจริงถึงพี่สะใภ้  พลางหันไปทางภรรยาซึ่งก้าวตามขึ้นมานั่งบนเบาะหลัง  เหลือบเห็นใบหน้าของเธอเบ่งบานด้วยรอยยิ้ม  นั่นหมายถึงการนั่งรถเที่ยวนี้มีแต่ความปลอดโปร่งโล่งอารมณ์ไปตลอดทาง  เพราะไม่มีคนมาพูดจากระทบกระแทกให้ระคายเคืองจิตใจ       

            งานทอดกฐินวันนั้นพ้นผ่านไปด้วยดี  พ่อกับแม่ยิ้มกริ่มที่เห็นลูกๆ  มากันพร้อมหน้าพร้อมตา  ยกเว้นบางคนที่มีเหตุผลส่วนตัวที่ออกจะคับแคบจนผมไม่อยากพูดถึง   เงินที่เราช่วยกันเรี่ยไรมารวมกันในหมู่เครือญาติเป็นเงินเกือบสามหมื่น  นี่ยังไม่นับรวมกับกองกฐินของคณะอื่นที่มีจิตศรัทธาร่วมกัน  แม่ได้แต่ขอบบุญขอบคุณลูกๆ  หลานๆ  ตลอดจนเครือญาติทุกคนที่มีใจกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกัน  โบสถ์ในวัดใกล้บ้านที่เห็นแต่โครงหลังคาโหว่มานานจะได้เสร็จสมบูรณ์เสียที  ชาวบ้านก็คงดีใจที่เห็นวัดมีสง่าราศีขึ้นมาบ้าง    

            ทุกคนพลอยอิ่มบุญไปกับการทอดกฐินในครั้งนี้  อำลาพ่อแม่ก่อนเดินทางกลับด้วยสีหน้าแช่มชื่นปนห่วงใย  ยกเว้นพจน์คนเดียวที่นอนต่ออีกคืนก่อนกลับไปปฏิบัติหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ปัตตานี   ชีวิตเขาเสี่ยงภัยไม่น้อยกับสถานการณ์อันโหดร้ายซึ่งเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวันในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้    ผมเองภาวนาอยู่เสมอว่าอย่าให้มีเหตุอะไรเกิดขึ้นกับเขาเลย 

            ตอนขาขึ้นกรุงเทพฯ พี่ศักดิ์เข้ามาส่งผมกับภรรยาในซอยเดิมอีกครั้ง  เขานอนพักที่บ้านผมคืนหนึ่ง  เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นถึงเดินทางต่อ  เพราะต้องไปเร่งสร้างถนนให้เสร็จส่งมอบทันกำหนด ไม่ลืมเชิญชวนผมขึ้นไปเที่ยวหนองคายบ้าง  จะพาข้ามไปเที่ยวเวียงจันทน์  หลวงพระบาง

            คงยากอยู่หรอกสำหรับผมในการได้มีโอกาสไปพักผ่อนหย่อนใจเช่นนั้น  อย่างที่รู้เงินทองมันไม่ค่อยเอื้ออำนวยสักเท่าไหร่  หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูก็ยังเหลืออีกบาน  แต่วาสนาของผมไม่ถึงกับริบหรี่เสียทีเดียว   บังเอิญช่วงปิดภาคเรียนปีนั้นทางโรงเรียนได้จัดทัศนศึกษาพาคณะครูไปเที่ยวดูงานในจังหวัดทางภาคอีสาน  เช่นกาฬสินธุ์  นครพนม  หนองคาย  อุดรธานี  ขอนแก่น ฯลฯ  ผมรีบลงชื่อตอบรับการไปในครั้งนี้โดยไม่ลังเล  เพราะนอกจากไปเที่ยวฟรีแล้ว  ผมกะจะไปแวะเยี่ยมพี่ชายสักครั้ง 

            และสิ่งที่ผมวาดฝันก็เป็นไปตามแผนการ  เมื่อรถทัวร์ทัศนศึกษาของคณะครูจากนนทบุรี ไปถึงหนองคายเอาตอนบ่ายแก่ๆ  ตามหมายกำหนดการเราได้แวะเข้าไปดูงานที่โรงเรียนประจำจังหวัดพอเป็นพิธี  เพื่อให้แลดูสมเหตุสมผลในการเบิกจ่ายเงินโรงเรียน  จริงๆ แล้วหลายคนไม่ได้สนใจจะดูงานอะไรหรอก  ตั้งหน้าตั้งตาไปเที่ยวเอามันเสียมากกว่า  ก็ดูสิ พอรถออกก็ร้องเพลงคาราโอเกะกันสนุกสนาน  บ้างก็ตั้งวงเล่นไพ่กันไปในรถตลอดทาง    

            หลังจากเข้าพักในโรงแรมเรียบร้อยแล้ว  ทางคณะปล่อยให้เราไปเดินเที่ยวซื้อของแถวตลาดท่าเสด็จ  ซึ่งมีสินค้าหนีภาษีให้เลือกซื้อได้ตามชอบใจ  บางกลุ่มก็ไปหาทำเลเหมาะๆ นั่งจิบเบียร์กินแหนมเนืองชมทิวทัศน์ระหว่างสองฝั่งแผ่นดินไทย-ลาว  ช่วงนั้นเองผมได้โทรศัพท์ให้พี่ศักดิ์ออกมารับ  ผมกระซิบบอกเพื่อนครูที่นอนห้องเดียวกันว่าขอไปเยี่ยมญาติ  ไม่แน่อาจนอนที่นั่นสักคืน  รุ่งเช้าจะรีบกลับมาให้ทันรถออกหน้าโรงแรม  เพราะในหมายกำหนดการเราจะต้องเดินทางไปยังเขื่อนอุบลรัตน์ต่อ

            ผมรู้สึกผิดคาดเมื่อไปถึงบ้านของพี่ชาย  ดูแล้วมันไม่ได้เป็นร้านค้าเฟอร์นิเจอร์ใหญ่อย่างที่คิด   เป็นเพียงตึกแถวห้องแคบๆ อยู่ในซอยเล็กๆ ย่านริมโขงเท่านั้นเอง

            “อ้าว พี่เล็กไม่อยู่หรือ?” ผมถามถึงพี่สะใภ้ด้วยความสงสัย

            ตอนนั้นเองผมได้เห็นสีหน้าของพี่ศักดิ์เหงาซึมไปคนละคน “เราแยกกันอยู่ได้สักพักแล้วล่ะ    เรื่องมันยาว” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจหนักหน่วง “โทษนะวิทย์ที่ฉันไม่ได้บอกแกตั้งแต่แรก”

            และแล้วเรื่องทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาจากปากของพี่ชายผมอย่างหมดเปลือก  เขาถูกฟ้องร้องเรื่องรับเหมาสร้างถนนสายหนึ่งให้กับทาง อบต. ทั้งๆ ที่ลงทุนลงแรงไปมากมายก่ายกอง  แต่พองานเสร็จคณะกรรมการตรวจรับกลับไม่ยอมเซ็นผ่าน  เพราะใช้วัสดุก่อสร้างไม่ตรงสเปคตามที่กำหนดไว้ในสัญญา  ไม่ว่ากรวด หิน ดินทราย  หรือเหล็กเส้น  ความจริงค่าเปอร์เซนต์อะไรต่างๆ ก็ใส่ซองให้แล้วทุกคน  แต่ผลมันออกมาเป็นแบบนั้นได้ยังไงก็ไม่รู้   พี่ชายผมมาสืบทราบเอาภายหลังว่าคณะกรรมการในกลุ่มเกิดขัดแย้งแบ่งผลประโยชน์กันไม่ลงตัว  นายก อบต. เจ็บใจตั้งแต่ทีแรกแล้วที่บริษัทลูกน้องประมูลงานครั้งนี้ไม่ได้  เลยหันมาดัดหลังห้างหุ้นส่วนของพี่ศักดิ์แทน  วิ่งเต้นไปหาคนโน้นคนนี้มีแต่คนส่ายหน้า  นึกโทษตัวเองที่อ่อนหัดไม่ทันเกม  ศาลตัดสินไปเรียบร้อยแล้ว   ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับทางการจำนวนหลายล้าน บ้านและที่ดินริมโขงเลยถูกยึดไปใช้หนี้เขาแทบหมดเนื้อหมดตัว    

            “หมายความว่าพี่กับพี่เล็กหย่ากันแล้วสิ?”

            “แค่แยกกัน  แต่พี่ต้องออกมาอาศัยห้องเช่าหลังนี้  เพราะมีปากเสียงทะเลาะกันไม่เว้นวัน”

            “แล้วพี่จะคิดวางแผนชีวิตยังไงต่อ  เมื่อทุกอย่างพังทลายลงอย่างนี้”    

            “ก็ยังคิดอะไรไม่ออก   มันต้องช่วยเหลือตัวเอง   นี่ก็เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปพลางก่อน” พี่ศักดิ์ยังไม่ได้หมดหวังในชีวิตเสียทีเดียว           

              “เสียใจด้วยนะพี่” ผมรู้สึกสะเทือนเข้าไปในหัวอกขณะพูดปลอบใจพี่ชาย   รถยนต์คันงามที่ผมเคยนั่งลงใต้ไปด้วยกันเมื่อปีก่อน  บัดนี้ไม่มีเหลือแม้เงา

            ผมไม่อยากเชื่อว่าคนมีเงินอย่างพี่ศักดิ์ชีวิตจะหล่นร่วงลงมากระแทกพื้นอย่างแรงขนาดนี้  ผมกล่าวลาพี่ชายด้วยความรู้สึกขมขื่น   ให้กำลังใจเขาว่าคนเราล้มได้ก็ลุกได้

            อีกไม่กี่เดือนให้หลัง  พี่ศักดิ์เดินทางลงมาเยี่ยมผมอีกครั้งหนึ่ง  มาดเสี่ยของพี่ชายเมื่อก่อนโน้นไม่เหลือเค้าให้เห็นอีกเลย   พี่ศักดิ์ลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างตรงหน้าบ้านแบบสีหน้าหุบแห้ง  หุ่นผอมลงกว่าเดิม   ภรรยาผมชงกาแฟออกมาต้อนรับ  และปล่อยให้เราสองคนนั่งคุยกันตามประสาพี่น้อง 

            “บ้านแกสบายดีนะวิทย์” พี่ชายผมออกปากชม พลางส่ายตามองไปรอบๆ

            “แค่ทาวน์เฮ้าส์เล็กๆ   ไม่ได้หรูหรา  พี่ก็รู้อยู่แล้วว่าชีวิตครูเป็นอย่างไร”

            “เมื่อก่อนบ้านพี่หลังใหญ่โต  แต่หาความสุขไม่ค่อยได้” เขาหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วระบายความในใจให้ผมฟัง “แปลกนะคนเราคิดแต่จะแข่งขันกันร่ำรวยเพื่อให้เหนือคนอื่น  แสวงหาความสุขปลอมๆ ไปวันๆ  ที่แท้ก็แสวงหาทุกข์เข้าตัว  พี่ยอมรับว่าพี่เองหลงทาง  วิทย์ก็รู้ว่าพี่พลาดเรื่องงานจนถูกฟ้องร้อง  คิดอยู่อย่างเดียวคือ “เงิน” หวังฟันกำไรงามๆ โดยลดต้นทุนวัสดุก่อสร้างให้น้อยลง  พูดง่ายๆ ก็คือโกงเขานั่นแหละ  ผลกรรมมันตามทัน”                 

            “แล้วพี่เล็กกับลูกจะว่ายังไง”

            พี่ศักดิ์ระบายยิ้มจางๆ  เหมือนไม่กล้าเอ่ยความจริงออกมา 

            “ตอนนี้เรากลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว  เริ่มต้นชีวิตกันใหม่   พี่ดีใจที่เล็กเขาทำใจได้แล้ว  ทรัพย์สินที่สูญเสียไปจากการถูกฟ้องร้อง เธอบอกว่าจะไม่คิดถึงมันอีก”

            “ทำกิจการเดิมหรือเปล่าพี่?” ผมถาม  นึกหวั่นๆ  กลัวเหตุการณ์จะพลิกกลับมาซ้ำรอยเดิม

            “ไม่เอาแล้วรับเหมาก่อสร้าง  ขายก๋วยเตี๋ยวดีกว่า  ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น” 

            ผมหายใจโล่งอกเมื่อครอบครัวของพี่ชายเปลี่ยนไป  เขาคงไม่คิดยึดติดอะไรอีก  พี่เล็กก็คงปล่อยวาง  “คนเราจะไขว่คว้าอะไรกันนักหนา  ในเมื่อวันข้างหน้ามีแต่ความว่างเปล่า” ผมนึกจะเตือนสติพี่ชายอีกครั้ง  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป       

            ————————————————————————

 กุลสตรี:กรกฎาคม 2553


ใส่ความเห็น

หมวดหมู่