(เรื่องสั้น) ช้างกระของแม่กับรอยรำลึกแห่งแสงสว่าง
“ขอให้ลูกทำดีเพื่อแม่สักครั้งได้ไหมต้น”
แม่พูดน้ำตาคลอ เสียงสั่นพร่าแกมสะอื้น หากลึกลงไปในหัวใจคงขมขื่นเกินจะหยั่งวัด หลายครั้งแล้วที่ผมทำให้แม่ต้องแบกหน้ามาโรงเรียนด้วยความอับอาย หลังจากฝ่ายปกครองมีหนังสือแจ้งให้มารับทราบพฤติกรรมอันเหลวแหลกของผม ครั้งนี้ก็เช่นกันที่ผมและเพื่อนๆ ถูกตำรวจนำตัวไปโรงพักเนื่องจากโดดเรียนไปมั่วสุมกินเหล้ากินเบียร์กันที่คอนโดของเพื่อนใกล้แม่น้ำ ตามปกติเราชอบหนีเรียนเป็นประจำอยู่แล้ว แต่วันนั้นโชคร้าย ไอ้ดำหรือดำรงเพื่อนซี้ของผมเมาหนักไปหน่อย มันขว้างขวดเบียร์ใส่หลังคาบ้านเขา ไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมงเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ขึ้นมาเคาะประตูห้องบนชั้น ๔ หลังจากได้รับแจ้งจากเจ้าของบ้านที่ออกมาด่าโวยวายอยู่ข้างล่าง เราถูกกล่าวหาว่าก่อกวนสร้างความรำคาญให้คนอื่น แต่ละคนหน้าม่อยด้วยความมึนเมาตอนนั่งท้ายรถกระบะของตำรวจไปโรงพัก ไอ้ดำยังทำขายหน้าหนักเข้าไปอีกเมื่ออ้วกใส่โต๊ะร้อยเวรขณะบันทึกประจำวันจนเหม็นหึ่งไปทั้งห้อง
เราหายเมาเป็นปลิดทิ้งเมื่อครูฝ่ายปกครองมาถึง ใครคนหนึ่งในนั้นพูดติดตลกขึ้นมา “โน่นพ่อมึงมาแล้ว”พ่อคนที่ว่าหมายถึงครูกรซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพวกเด็กเกเรที่ชอบทำตัวผิดกฎระเบียบของโรงเรียนนั่นเอง สีหน้าของครูกรออกอาการหดหู่ให้เห็นอย่างชัดเจนขณะมาเจอลูกศิษย์ในสภาพที่รับไม่ได้
“เมากันเละเลย เด็กโรงเรียนของอาจารย์ใช่ไหม?” ร้อยเวรหนุ่มร้องทัก
“ใช่ครับ”ครูกรส่ายหัวไปมา “หน้าเดิมๆ นี่หว่า”
“แย่..แย่ เด็กเดี๋ยวนี้ ดูสิเมากันทั้งเครื่องแบบนักเรียน เห็นแล้วปวดหัว สงสารอนาคตของชาติจริงๆ” ร้อยเวรบอกกับครูฝ่ายปกครอง “ผมลงบันทึกเรืองราวทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว อาจารย์ลองอ่านดู เซ็นรับทราบเสียหน่อย แล้วเอาไปลงโทษทางระเบียบวินัยของโรงเรียน เออมีดดาบสองเล่มโรงพักขอยึดไว้เป็นหลักฐาน”
หลังจากตำรวจว่ากล่าวตักเตือนเชิงขู่ว่าคราวหน้าหากเจออีกหนจะเล่นงานเสียให้เข็ด จากนั้นก็ปล่อยตัว เราเดินตามหลังครูกรขึ้นรถตู้กลับโรงเรียน พอไปถึงแกก็โทรศัพท์เชิญผู้ปกครองของทุกคนมาพบที่ห้องปกครองทันทีที่ไปถึง แต่เมื่อวานแม่ผมมาไม่ได้จริงๆ ติดขัดเรื่องงานอะไรสักอย่าง ต้องขอผัดผ่อนครูว่าจะมาในวันรุ่งขึ้น
ผมหวั่นใจอยู่ครามครัน สงสัยจะต้องถูกออกแน่ๆ เดือดร้อนแม่ต้องหาที่เรียนใหม่ให้ผมอีก เพราะใบทัณฑ์ในความผิดครั้งก่อนของผมยังแช่อยู่ในแฟ้มของฝ่ายปกครองไม่ต่ำกว่าสองใบ ไม่นับรวมความผิดเล็กๆ น้อยๆ ประเภทมาโรงเรียนสาย ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกง เหยียบส้นรองเท้า ซึ่งถูกว่ากล่าวตักเตือนอยู่เป็นประจำจนครูอาจารย์หลายคนพากันเอือมระอา
ครูกรมองหน้าผมกับหน้าแม่สลับกันไปมา ก่อนเดินไปที่ตู้เก็บเอกสารข้างโต๊ะทำงาน หยิบแฟ้มที่เขียนว่า “สมุดบันทึกพฤติกรรมนักเรียน” ออกมากางแผละ พลิกหาใบทัณฑ์บนที่เรียงรวมกันอยู่หลายใบในนั้น โดยแบ่งเป็นระดับม.ต้น ม.ปลาย ครูกรทบทวนให้แม่ฟังในความผิดครั้งที่แล้วกรณีพกพาอาวุธมาโรงเรียน เป็นมีดปลายแหลมยาวขนาดศอกเศษ ซึ่งผมกะจะเอามาป้องกันตัว เพราะทราบข่าวว่าวันนั้นคู่อริอีกโรงจะยกพวกมาดักเล่นงานเราที่ป้ายรถเมล์หลังเลิกเรียน บังเอิญครูเวรประตูตรวจค้นกระเป๋าเจอเสียก่อน อีกความผิดหนึ่งก็คือทะเลาะวิวาทกับเพื่อนต่างห้องด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง จะว่าไปแล้วผมเป็นเนื้อร้ายค่อนข้างเน่าที่โรงเรียนจะหั่นทิ้งเสียเมื่อไหร่ก็ได้ ครูกรพูดกับแม่อยู่นานว่าจะให้ผมออกแล้วไปหาเรียนที่อื่น เพราะพฤติกรรมของผมอยู่ไปก็มีแต่จะทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่แม่พยายามขอร้องแกมวิงวอน ยกมือไหว้ครูฝ่ายปกครองขอความเห็นใจยกเว้นโทษให้ผมอีกสักครั้ง ไหนๆ ก็ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจิตใจของครูกรจะอ่อนลง และยอมให้อภัยในความผิดของผมจนได้ แต่กำชับเสียงแข็งต่อหน้าแม่ว่า “ครั้งนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน”
กลับมาถึงบ้านตอนเย็น ผมโดนแม่สวดอีกรอบ แถมด้ามไม้กวาดฟาดเข้ากลางหลังอีกสองขวับ “จำใส่กบาลแกไว้ด้วย ผิดอีกครั้งจะตัดหางปล่อยวัดทันที” แม่กราดเกรี้ยว ผมคิดว่าครูกรน่าจะรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับตัวผมและแม่ เนื่องจากถูกเชิญไปห้องปกครองบ่อยเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องชีวิตในครอบครัวเราที่แม่กับพ่อหย่าร้างแยกทางกันตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก พ่อไปมีเมียใหม่อยู่ที่อุดรธานี ยึดอาชีพขายประกัน มีอยู่ครั้งเดียวเท่านั้นที่พ่อแวะมาเยี่ยมเราที่บ้านเช่าหลังนี้ ผมเห็นทั้งสองคุยกันแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ เพราะสายใยแห่งความรักความผูกพันได้เปื่อยสลายไปนานแล้ว ที่แวะมาเยี่ยมคงจะคิดถึงลูกมากกว่า
ความจริงแม่ผมเป็นคนสู้งานทุกอย่าง เนื่องจากต้องหาเลี้ยงลูกคนเดียวมาโดยลำพัง งานหลักของแม่ก็คือเป็นลูกจ้างทำความสะอาดอพาร์ตเมนต์สร้างใหม่แห่งหนึ่ง ตกเย็นหรือเสาร์อาทิตย์แม่ยังรับจ้างซักรีดเสื้อผ้าอีกต่างหาก ผมช่วยแม่ได้อยู่อย่างเดียวก็คือเอาเสื้อผ้าที่รีดเสร็จแล้วไปส่งตามบ้าน นั่นคือสิ่งที่แม่พอจะพึ่งพาผมได้บ้าง
วันนั้นที่โรงเรียนมีการปัจฉิมนิเทศเด็กนักเรียนที่ใกล้จบ ซึ่งผมเป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้น แม่อุตส่าห์หาซื้อกล้วยไม้มาจากไหนไม่ทราบ เป็นช้างกระเสียด้วย ช่อดอกลายขาวอมม่วงของมันย้อยลงมาเป็นพวงงามน่ารักอย่าบอกใคร
“แกเอากล้วยไม้ไปให้ครูกรหน่อยนะ บอกว่าแม่ให้เป็นที่ระลึก”
“ระลึกอะไรแม่”
“ก็ระลึกที่ครูเขามีน้ำใจไม่ไล่แกออกจากโรงเรียนไง”
ผมคิดว่าแม่คงคิดตามนั้นจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น แม่คงเห็นจิตวิญญาณของความเป็นครูที่ต้องเคี่ยวเข็ญเด็กเหลือขออย่างผมด้วยความเหนื่อยยาก ผมยังเคยได้ยินแม่บ่นกับครูกรตั้งหลายครั้งว่ากระทรวงศึกษาธิการไม่น่าออกกฎระเบียบหักไม้เรียวครูเลย เด็กทุกวันเลยเตลิดเหลิง ไม่ให้ความเคารพและเชื่อฟังครูอีกต่อไป มีที่ไหนมาเรียนหนังสือแต่ไม่ยอมเรียน กลับปีนกำแพงหนีไปเดินห้าง ไปมั่วสุมกันที่นั่นที่นี่ ครูคงเหนื่อยไม่ใช่เล่น ไหนต้องสอนหนังสือ คาบว่างก็ต้องตระเวนออกไปดูเด็กที่หนีเรียนไปอยู่ตามร้านเกม บ้างก็ร้านสนุกเกอร์ หรือสวนสาธารณะ นักเรียนหญิงก็ไม่เบา บางวันผมเห็นมีรถเก๋งคันงามโฉบมารับถึงหน้าประตูโรงเรียน ไปไหนต่อกันก็ไม่รู้
ผมออกจะเขินๆ เมื่อหิ้วกระถางกล้วยไม้ไปให้ครูกรที่ฝ่ายปกครองในเช้าวันรุ่งขึ้น ผมนั่งรออยู่พักหนึ่งกว่าครูจะมาถึง แกงุนงงไม่นึกว่าจะมีผู้ปกครองคนไหนจะเอาของขวัญของฝากมาให้ แกพูดจาหยอกเย้าผมและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนรับกระถางช้างกระขึ้นแขวนไว้กับกิ่งมะยมที่อยู่ริมหน้าต่าง
หลังผมจบมัธยมต้นได้ไม่นาน แม่ก็พาผมไปฝากงานเป็นลูกมือเถ้าแก่ร้านเหล็กดัดในซอย พอมีรายได้มาจุนเจือครอบครัว เป็นการช่วยแม่อีกแรง อีกอย่างแม่กลัวว่าผมจะไปเข้าแก๊งกับวัยรุ่นติดยา เพราะเรื่องนี้แม่คอยเตือนนักเตือนหนาว่าอย่าไปมั่วกับเด็กพวกนั้นเด็ดขาด เพราะแต่ละคนเป็นเด็กผี ทั้งสูบบุหรี่ กินเหล้า เสพยา ซิ่งรถ ฯลฯ พ่อแม่คุมไม่อยู่จึงปล่อยไปตามเวรตามกรรม
หลังจากได้งานทำ เช้าวันถัดมาผมก็ติดรถกระบะเถ้าแก่ไปทำงานทันที ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้งานเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน ช่วงแรกๆ ผมแค่ช่วยยกเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นรถลงรถ คอยหยิบโน่นหยิบนี่ให้เขาเวลาประกอบติดตั้งมุ้งลวดเหล็กดัดให้ลูกค้าตามบ้าน ขณะเดียวกันก็เรียนรู้งานหาประสบการณ์ไปในตัว เพียงไม่กี่เดือนผมก็ชำนาญขึ้นมาตามลำดับ
ผมนึกอิจฉาไอ้ดำเพื่อนซี้อีกคน ยังดีกว่าผมหน่อยที่มันได้เรียนต่ออาชีวะย่านปทุมธานี แม่มันต้องขายปิ้งไก่และขยันโขลกส้มตำเพิ่มขึ้นวันละหลายครก เพื่อให้พอกับค่าเทอม ค่าหนังสือ ค่าเสื้อผ้า และค่าอะไรอีกจิปาถะ ซึ่งต้องใช้เงินทั้งนั้น อนาคตข้างหน้ามันคงไปไกลกว่าผมอย่างไม่ต้องสงสัย คิดแล้วน้อยใจตัวเองที่ครอบครัวผมจนยาก ดันเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ต้องเผชิญกับเศรษฐกิจที่โหดเหี้ยมเหมือนยักษ์คอยเคี้ยวกลืนชีวิตเราอย่างเลือดเย็น
แต่บางครั้งชีวิตคนเราเอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยได้ นึกถึงเพื่อนเก่าคนนี้ขึ้นมาทีไรผมก็อดเศร้าใจแทนไม่ได้ ตอนแรกผมว่ามันน่าจะก้าวไปได้สวยอย่างที่คิด แต่ทำไปทำมาต้องเลิกเรียนเสียกลางคัน เพราะมันโดนเด็กอาชีวะคู่อริดักเล่นงานเสียย่ำแย่ ผมยังเสียวสันหลังวาบเมื่อไปเห็นแผลตามหัว ตามแขนของมันตอนไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ไอ้ดำเล่าให้ผมฟังว่ามันกำลังนั่งรถเมล์จะกลับบ้านในตอนเย็น พอถึงบริเวณห้าแยกปากเกร็ด รถยังไม่ทันจอดป้ายสนิทด้วยซ้ำ นักเรียนอาชีวะสี่ห้าคนก็กรูขึ้นมาอย่างกะหมาหมู่ เอามีดไล่ฟันมันกับเพื่อนอีกสองคนแบบไม่ต้องดูหน้าดูตาว่าใครเป็นใคร ขอให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสถาบันคู่แค้นก็พอ แต่มันโชคร้ายกว่าทุกคน เพราะนั่งอยู่เบาะหลังสุด เจอมีดดาบเข้าเต็มเปาโดยไม่ทันตั้งตัว ต้องมุดแหวกคนหนีเลือดอาบหน้าลงมาแทบเอาชีวิตไม่รอด หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ไปเรียนต่ออีกเลย ผมรู้สึกใจหายทุกครั้งเมื่อเหลือบดูมือข้างขวา นิ้วก้อยของมันขาดหายไปครึ่งหนึ่ง อันเนื่องมาจากการถูกทำร้ายในวันนั้น และกลายเป็นคนนิ้วด้วนไปโดยปริยาย ในที่สุดก็มาวิ่งวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่แถวปากซอยหน้าโรงเรียน
วันหนึ่งผมกำลังเดินอัดบุหรี่พ่นควันโขมง ทอดน่องสบายอารมณ์ไปยังร้านเหล็กดัด เจอครูกรออกมาเดินเกร่อยู่ในซอยโดยบังเอิญ มือที่คีบบุหรี่อยู่ก็ชักหลบโดยสัญชาตญาณ
“ยังไม่เลิกอีกหรือเรา” ครูกรทักทายผมก่อน
ผมรีบยกมือไหว้ พร้อมออกปากถาม“ครูมาทำอะไรแถวนี้หรือครับ”
“ออกมาดูเด็กหน่อย เมื่อวานได้ข่าวว่า นักเรียน ม.ต้นโดนวัยรุ่นมาขู่รีดไถเอาเงินตั้งแต่เช้าเลย เธอพอรู้เรื่องบ้างไหม?”
ผมฟังเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา“เมื่อวานผมออกสายแล้วก็กลับเข้าบ้านเอาเกือบสองทุ่ม”
“มาถามๆ ดู เห็นว่าเป็นเจ้าพ่อประจำซอยไม่ใช่หรือ เผื่อรู้ความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง” แกหยอกเย้าผมเล่นตามสไตล์เดิมในฐานะเคยขาประจำห้องปกครอง
“เรื่องไม่ดีพวกนั้นผมทิ้งไว้ที่โรงเรียนหมดแล้วแหละครับ”
“ขอให้จริงเถอะ จะขออนุโมทนาสาธุ” ครูกรกล่าวสรรเสริญเยินยอแกมประชดประชัน แล้วยังบ่นอีกว่า “เจ้าเกรียงน้องชายเธอที่เข้า ม.๑ ปีนี้ดูท่าทางไม่เบานะ ดีไม่ดีฉันต้องปวดกบาลอีกคนเป็นแน่”
ผมได้แต่ยิ้ม เห็นแววน้องชายชักออกลีลาเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“ไม่ลองเรียนนักศึกษาผู้ใหญ่ด้วยล่ะ ดีกว่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ คนมีงานทำเขาเรียนกันถมเถ” ครูกรคุยกับผมอย่างเป็นการเป็นงานด้วยความมีเจตนาดีต่อศิษย์คนหนึ่ง แนะนำให้ผมเรียนการศึกษานอกโรงเรียนในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เผื่อได้ต่อยอดอนาคตตัวเองให้ก้าวไกลไปอีกขั้น ซึ่งดูแล้วเป็นทางออกทางเดียวสำหรับคนธรรมดา ที่จะแหวกว่ายให้หลุดพ้นไปจากปลักตมแห่งความจนกับเขาได้บ้าง
ตอนแรกผมคิดจะหันหลังให้กับการเรียนอย่างเด็ดขาด แต่มาคิดถึงอนาคตข้างหน้า คนเราหากมีความรู้ มีประกาศนียบัตรไว้บ้างน่าจะได้เปรียบกว่าคนอื่นที่ไม่ได้เรียนอะไรเลย นึกขอบคุณครูกรด้วยซ้ำที่ช่วยชี้ทางให้ผมมองเห็นแสงสว่างของชีวิต ไม่งั้นเงินค่าจ้างรายเดือนที่ได้มาคงละลายหายไปกับเหล้าเบียร์ การพนัน เที่ยวผู้หญิง หมดไม่มีเหลือ
ผมเอาคำชี้แนะของครูมาตรองตรึกอยู่หลายวัน ลองถามแม่ แม่เออออเห็นดีเห็นงามด้วย นั่นแหละผมถึงไปสมัครเรียนต่อการศึกษานอกโรงเรียนจนกระทั่งจบระดับชั้นม.ปลาย ปีถัดมาผมได้งานใหม่เป็นพนักงานโรงงานทำเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่งย่านนนทบุรี และสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเปิดในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสายงานไปพร้อมๆ กัน
หน้าที่การงานของผมก็ได้รับเลื่อนสูงขึ้นไปตามลำดับ หลังจากได้ปริญญาตรีมาพ่วงท้ายใบหนึ่ง พอยืดอกยืดคอกับเขาได้บ้าง
จู่ๆ วันหนึ่งผมได้รับข่าวร้ายจากไอ้ดำเพื่อนเก่าว่าครูกรโดนวัยรุ่นดักแทงที่หน้าประตูโรงเรียน ผมซักมันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งได้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไร ผมจึงออกไปเยี่ยมครูที่โรงพยาบาลตามที่มันบอก โชคดีที่หมอบอกว่าครูแค่ได้รับบาดเจ็บไม่ถึงขั้นสาหัส เพราะคมมีดไม่ถูกอวัยวะที่สำคัญ
ครูกรนอนตาปรืออยู่บนเตียงห้องคนป่วยหลังจากหมอทำแผลเรียบร้อยแล้ว แกลำดับความเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“…..ตอนนั้นครูทรุดงอลงไปนั่งยองๆ อยู่กับพื้น เจ้าดำขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาพอดี เขาเห็นเลือดสีแดงสดไหลออกมาเปื้อนเปรอะเสื้อตรงบริเวณหน้าท้อง เขาจอดรถแล้วรีบประคองครูขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ ลัดเลาะซอยออกไปส่งที่โรงพยาบาลใกล้แม่น้ำ ไม่ได้เจ้าดำ ครูก็คงแย่เหมือนกัน เขายังให้การเป็นพยานกับตำรวจอีกว่าเห็นวัยรุ่นสองคนขี่มอเตอร์ไซค์พุ่งสวนไปแล้วขว้างมีดเข้าพงหญ้าหลังเกิดเหตุ ตำรวจเลยเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อเอาไปสืบสวนสอบสวนให้ถึงต้นตอ ครูยอมรับว่าชะล่าใจไปหน่อย เพราะมีคนโทรศัพท์มาที่ห้องปกครองบอกว่าเด็กนักเรียนกำลังมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน ครูเลยรีบออกไประงับเหตุ พอเดินพ้นประตูโรงเรียนไปได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้นแหละ มีวัยรุ่นคนหนึ่งพรวดออกมาจากข้างกำแพง พุ่งเข้าประชิดตัว มารู้อีกทีก็โดนมีดปลายแหลมเสียบเข้าให้แล้ว”
นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน…. ผมรู้ว่าครูเกษียณอายุราชการปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็ถือโอกาสเข้าไปอวยพรแสดงมุทิตาจิตต่อครูเก่าที่ผมเคารพรัก ผมกับไอ้ดำนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะในงานเลี้ยงบนหอประชุมของโรงเรียน ท่ามกลางแขกเหรื่อระดับผู้หลักผู้ใหญ่และเพื่อนฝูงรุ่นพี่รุ่นน้องหลากหลาย ซึ่งเติบโตในหน้าที่การงานแตกต่างกันไปตามระดับการศึกษา
ช่วงนั่งกินเลี้ยงเจอหน้าเพื่อนเก่าก็ขุดคุ้ยเรื่องสารพัดเรื่องมาคุยโม้กัน บ้างก็สนุกกับการนินทาครูอาจารย์เก่าๆ กันตามประสา โดยเฉพาะครูกรคนเดียวก็พูดกันได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีวันจบ มีทั้งเรื่องขำ เรื่องร้ายสารพัด ช่วงหนึ่งครูลุกจากโต๊ะใหญ่เดินมาทักทายพวกเราอย่างเป็นกันเอง สีหน้าท่าทางไม่มีมาดดุๆ ให้เห็นอีกแล้ว เหลือแต่แววแห่งความเมตตาฉายชัดอยู่เต็มเปี่ยม ภาพที่ครูถูกแทงเมื่อหลายปีก่อนยังไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ ทุกคนต่างทราบกันดีว่าคดีนั้นตำรวจจับตัวได้ในตอนหลัง ที่แท้คนร้ายเป็นเด็กที่ถูกออกจากโรงเรียนในข้อหาหลอกลวงนักเรียนหญิงออกไปข่มขืนกระทำชำเราจนเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์แบบฉาวโฉ่ ครูกรย้อนอดีตเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้เราฟังเหมือนทบทวนรอยแผลเก่าที่ได้รับตอบแทนจากลูกศิษย์เนรคุณ พลางตบไหล่ผมกับไอ้ดำ
“ดีนะ ที่พวกเธอไม่ได้ออกไปเป็นขยะสังคม”
ผมระบายยิ้มด้วยความอิ่มเอิบใจ หากไม่เชื่อคำชี้แนะของครูในวันนั้น ผมก็คงเป็นกุ๊ยประจำซอย หรือไม่ก็เข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้วก็ได้ เพราะเพื่อนผมบางคนที่พัวพันกับยาเสพติดมาตั้งแต่สมัยเรียนก็วนเข้าวนออกอยู่แถวคุกเหมือนถูกเรียกขึ้นห้องปกครองครั้งกระโน้นไม่มีผิด
“กระถางช้างกระของแม่เธอยังอยู่นะ ครูรักษาไว้อย่างดี มันยังแขวนอยู่ข้างห้องปกครอง เหมือนเดิม” ครูกรเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเหมือนทบทวนความหลัง
หัวใจผมกระตุกเยือกเมื่อนึกถึงช้างกระที่แม่มอบให้ครูกร ก่อนบอกความจริงบางอย่างให้ครูรู้ว่าแม่ผมจากไปสักสองปีที่ผ่านมา เป็นมะเร็งลำไส้ รักษาตัวกันจนสุดความสามารถแล้ว แต่ไม่อาจยื้อชีวิตเอาไว้ได้ “ขอโทษด้วยครับครู ผมไม่ได้มาบอกเรื่องนี้ให้ทราบตอนแม่เสีย”
หากแม่อยู่ตอนนี้ แม่คงยิ้มด้วยความดีใจ
—————————————————————————————————————————————————
เนชั่นสุดสัปดาห์: มีนาคม 2553
ใส่ความเห็น