Posted by: chaosinbooks | 28/07/2010

ช้างกระของแม่กับรอยรำลึกแห่งแสงสว่าง


(เรื่องสั้น) ช้างกระของแม่กับรอยรำลึกแห่งแสงสว่าง                                              

                                                                                               

           “ขอให้ลูกทำดีเพื่อแม่สักครั้งได้ไหมต้น”        

            แม่พูดน้ำตาคลอ  เสียงสั่นพร่าแกมสะอื้น  หากลึกลงไปในหัวใจคงขมขื่นเกินจะหยั่งวัด  หลายครั้งแล้วที่ผมทำให้แม่ต้องแบกหน้ามาโรงเรียนด้วยความอับอาย หลังจากฝ่ายปกครองมีหนังสือแจ้งให้มารับทราบพฤติกรรมอันเหลวแหลกของผม ครั้งนี้ก็เช่นกันที่ผมและเพื่อนๆ ถูกตำรวจนำตัวไปโรงพักเนื่องจากโดดเรียนไปมั่วสุมกินเหล้ากินเบียร์กันที่คอนโดของเพื่อนใกล้แม่น้ำ ตามปกติเราชอบหนีเรียนเป็นประจำอยู่แล้ว  แต่วันนั้นโชคร้าย ไอ้ดำหรือดำรงเพื่อนซี้ของผมเมาหนักไปหน่อย มันขว้างขวดเบียร์ใส่หลังคาบ้านเขา ไม่ทันถึงครึ่งชั่วโมงเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ขึ้นมาเคาะประตูห้องบนชั้น ๔ หลังจากได้รับแจ้งจากเจ้าของบ้านที่ออกมาด่าโวยวายอยู่ข้างล่าง เราถูกกล่าวหาว่าก่อกวนสร้างความรำคาญให้คนอื่น แต่ละคนหน้าม่อยด้วยความมึนเมาตอนนั่งท้ายรถกระบะของตำรวจไปโรงพัก ไอ้ดำยังทำขายหน้าหนักเข้าไปอีกเมื่ออ้วกใส่โต๊ะร้อยเวรขณะบันทึกประจำวันจนเหม็นหึ่งไปทั้งห้อง

 เราหายเมาเป็นปลิดทิ้งเมื่อครูฝ่ายปกครองมาถึง ใครคนหนึ่งในนั้นพูดติดตลกขึ้นมา “โน่นพ่อมึงมาแล้ว”พ่อคนที่ว่าหมายถึงครูกรซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพวกเด็กเกเรที่ชอบทำตัวผิดกฎระเบียบของโรงเรียนนั่นเอง สีหน้าของครูกรออกอาการหดหู่ให้เห็นอย่างชัดเจนขณะมาเจอลูกศิษย์ในสภาพที่รับไม่ได้

“เมากันเละเลย เด็กโรงเรียนของอาจารย์ใช่ไหม?” ร้อยเวรหนุ่มร้องทัก

“ใช่ครับ”ครูกรส่ายหัวไปมา “หน้าเดิมๆ นี่หว่า”                                                          

 “แย่..แย่ เด็กเดี๋ยวนี้  ดูสิเมากันทั้งเครื่องแบบนักเรียน เห็นแล้วปวดหัว สงสารอนาคตของชาติจริงๆ” ร้อยเวรบอกกับครูฝ่ายปกครอง “ผมลงบันทึกเรืองราวทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว อาจารย์ลองอ่านดู  เซ็นรับทราบเสียหน่อย แล้วเอาไปลงโทษทางระเบียบวินัยของโรงเรียน เออมีดดาบสองเล่มโรงพักขอยึดไว้เป็นหลักฐาน”                                          

หลังจากตำรวจว่ากล่าวตักเตือนเชิงขู่ว่าคราวหน้าหากเจออีกหนจะเล่นงานเสียให้เข็ด จากนั้นก็ปล่อยตัว เราเดินตามหลังครูกรขึ้นรถตู้กลับโรงเรียน พอไปถึงแกก็โทรศัพท์เชิญผู้ปกครองของทุกคนมาพบที่ห้องปกครองทันทีที่ไปถึง แต่เมื่อวานแม่ผมมาไม่ได้จริงๆ ติดขัดเรื่องงานอะไรสักอย่าง ต้องขอผัดผ่อนครูว่าจะมาในวันรุ่งขึ้น

ผมหวั่นใจอยู่ครามครัน  สงสัยจะต้องถูกออกแน่ๆ   เดือดร้อนแม่ต้องหาที่เรียนใหม่ให้ผมอีก  เพราะใบทัณฑ์ในความผิดครั้งก่อนของผมยังแช่อยู่ในแฟ้มของฝ่ายปกครองไม่ต่ำกว่าสองใบ  ไม่นับรวมความผิดเล็กๆ น้อยๆ  ประเภทมาโรงเรียนสาย ปล่อยชายเสื้อออกนอกกางเกง เหยียบส้นรองเท้า  ซึ่งถูกว่ากล่าวตักเตือนอยู่เป็นประจำจนครูอาจารย์หลายคนพากันเอือมระอา

 ครูกรมองหน้าผมกับหน้าแม่สลับกันไปมา  ก่อนเดินไปที่ตู้เก็บเอกสารข้างโต๊ะทำงาน  หยิบแฟ้มที่เขียนว่า “สมุดบันทึกพฤติกรรมนักเรียน” ออกมากางแผละ  พลิกหาใบทัณฑ์บนที่เรียงรวมกันอยู่หลายใบในนั้น โดยแบ่งเป็นระดับม.ต้น ม.ปลาย  ครูกรทบทวนให้แม่ฟังในความผิดครั้งที่แล้วกรณีพกพาอาวุธมาโรงเรียน  เป็นมีดปลายแหลมยาวขนาดศอกเศษ  ซึ่งผมกะจะเอามาป้องกันตัว  เพราะทราบข่าวว่าวันนั้นคู่อริอีกโรงจะยกพวกมาดักเล่นงานเราที่ป้ายรถเมล์หลังเลิกเรียน  บังเอิญครูเวรประตูตรวจค้นกระเป๋าเจอเสียก่อน  อีกความผิดหนึ่งก็คือทะเลาะวิวาทกับเพื่อนต่างห้องด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง  จะว่าไปแล้วผมเป็นเนื้อร้ายค่อนข้างเน่าที่โรงเรียนจะหั่นทิ้งเสียเมื่อไหร่ก็ได้   ครูกรพูดกับแม่อยู่นานว่าจะให้ผมออกแล้วไปหาเรียนที่อื่น   เพราะพฤติกรรมของผมอยู่ไปก็มีแต่จะทำให้โรงเรียนเสื่อมเสียชื่อเสียง  แต่แม่พยายามขอร้องแกมวิงวอน  ยกมือไหว้ครูฝ่ายปกครองขอความเห็นใจยกเว้นโทษให้ผมอีกสักครั้ง ไหนๆ ก็ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว  ไม่น่าเชื่อว่าจิตใจของครูกรจะอ่อนลง  และยอมให้อภัยในความผิดของผมจนได้  แต่กำชับเสียงแข็งต่อหน้าแม่ว่า “ครั้งนี้ขอให้เป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน”   

กลับมาถึงบ้านตอนเย็น  ผมโดนแม่สวดอีกรอบ  แถมด้ามไม้กวาดฟาดเข้ากลางหลังอีกสองขวับ  “จำใส่กบาลแกไว้ด้วย  ผิดอีกครั้งจะตัดหางปล่อยวัดทันที” แม่กราดเกรี้ยว   ผมคิดว่าครูกรน่าจะรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับตัวผมและแม่  เนื่องจากถูกเชิญไปห้องปกครองบ่อยเป็นว่าเล่น   โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องชีวิตในครอบครัวเราที่แม่กับพ่อหย่าร้างแยกทางกันตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก  พ่อไปมีเมียใหม่อยู่ที่อุดรธานี  ยึดอาชีพขายประกัน  มีอยู่ครั้งเดียวเท่านั้นที่พ่อแวะมาเยี่ยมเราที่บ้านเช่าหลังนี้   ผมเห็นทั้งสองคุยกันแบบไม่ค่อยสบอารมณ์   เพราะสายใยแห่งความรักความผูกพันได้เปื่อยสลายไปนานแล้ว  ที่แวะมาเยี่ยมคงจะคิดถึงลูกมากกว่า    

ความจริงแม่ผมเป็นคนสู้งานทุกอย่าง  เนื่องจากต้องหาเลี้ยงลูกคนเดียวมาโดยลำพัง  งานหลักของแม่ก็คือเป็นลูกจ้างทำความสะอาดอพาร์ตเมนต์สร้างใหม่แห่งหนึ่ง  ตกเย็นหรือเสาร์อาทิตย์แม่ยังรับจ้างซักรีดเสื้อผ้าอีกต่างหาก  ผมช่วยแม่ได้อยู่อย่างเดียวก็คือเอาเสื้อผ้าที่รีดเสร็จแล้วไปส่งตามบ้าน   นั่นคือสิ่งที่แม่พอจะพึ่งพาผมได้บ้าง

วันนั้นที่โรงเรียนมีการปัจฉิมนิเทศเด็กนักเรียนที่ใกล้จบ ซึ่งผมเป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้น  แม่อุตส่าห์หาซื้อกล้วยไม้มาจากไหนไม่ทราบ เป็นช้างกระเสียด้วย  ช่อดอกลายขาวอมม่วงของมันย้อยลงมาเป็นพวงงามน่ารักอย่าบอกใคร

“แกเอากล้วยไม้ไปให้ครูกรหน่อยนะ บอกว่าแม่ให้เป็นที่ระลึก”

“ระลึกอะไรแม่”

“ก็ระลึกที่ครูเขามีน้ำใจไม่ไล่แกออกจากโรงเรียนไง”

ผมคิดว่าแม่คงคิดตามนั้นจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น  แม่คงเห็นจิตวิญญาณของความเป็นครูที่ต้องเคี่ยวเข็ญเด็กเหลือขออย่างผมด้วยความเหนื่อยยาก  ผมยังเคยได้ยินแม่บ่นกับครูกรตั้งหลายครั้งว่ากระทรวงศึกษาธิการไม่น่าออกกฎระเบียบหักไม้เรียวครูเลย  เด็กทุกวันเลยเตลิดเหลิง ไม่ให้ความเคารพและเชื่อฟังครูอีกต่อไป  มีที่ไหนมาเรียนหนังสือแต่ไม่ยอมเรียน  กลับปีนกำแพงหนีไปเดินห้าง ไปมั่วสุมกันที่นั่นที่นี่   ครูคงเหนื่อยไม่ใช่เล่น ไหนต้องสอนหนังสือ  คาบว่างก็ต้องตระเวนออกไปดูเด็กที่หนีเรียนไปอยู่ตามร้านเกม  บ้างก็ร้านสนุกเกอร์ หรือสวนสาธารณะ  นักเรียนหญิงก็ไม่เบา  บางวันผมเห็นมีรถเก๋งคันงามโฉบมารับถึงหน้าประตูโรงเรียน ไปไหนต่อกันก็ไม่รู้   

ผมออกจะเขินๆ เมื่อหิ้วกระถางกล้วยไม้ไปให้ครูกรที่ฝ่ายปกครองในเช้าวันรุ่งขึ้น  ผมนั่งรออยู่พักหนึ่งกว่าครูจะมาถึง  แกงุนงงไม่นึกว่าจะมีผู้ปกครองคนไหนจะเอาของขวัญของฝากมาให้  แกพูดจาหยอกเย้าผมและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนรับกระถางช้างกระขึ้นแขวนไว้กับกิ่งมะยมที่อยู่ริมหน้าต่าง        

หลังผมจบมัธยมต้นได้ไม่นาน  แม่ก็พาผมไปฝากงานเป็นลูกมือเถ้าแก่ร้านเหล็กดัดในซอย  พอมีรายได้มาจุนเจือครอบครัว เป็นการช่วยแม่อีกแรง   อีกอย่างแม่กลัวว่าผมจะไปเข้าแก๊งกับวัยรุ่นติดยา  เพราะเรื่องนี้แม่คอยเตือนนักเตือนหนาว่าอย่าไปมั่วกับเด็กพวกนั้นเด็ดขาด  เพราะแต่ละคนเป็นเด็กผี ทั้งสูบบุหรี่ กินเหล้า เสพยา  ซิ่งรถ ฯลฯ พ่อแม่คุมไม่อยู่จึงปล่อยไปตามเวรตามกรรม 

 หลังจากได้งานทำ  เช้าวันถัดมาผมก็ติดรถกระบะเถ้าแก่ไปทำงานทันที ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้งานเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน   ช่วงแรกๆ ผมแค่ช่วยยกเครื่องไม้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นรถลงรถ  คอยหยิบโน่นหยิบนี่ให้เขาเวลาประกอบติดตั้งมุ้งลวดเหล็กดัดให้ลูกค้าตามบ้าน ขณะเดียวกันก็เรียนรู้งานหาประสบการณ์ไปในตัว  เพียงไม่กี่เดือนผมก็ชำนาญขึ้นมาตามลำดับ   

ผมนึกอิจฉาไอ้ดำเพื่อนซี้อีกคน  ยังดีกว่าผมหน่อยที่มันได้เรียนต่ออาชีวะย่านปทุมธานี  แม่มันต้องขายปิ้งไก่และขยันโขลกส้มตำเพิ่มขึ้นวันละหลายครก เพื่อให้พอกับค่าเทอม ค่าหนังสือ  ค่าเสื้อผ้า  และค่าอะไรอีกจิปาถะ ซึ่งต้องใช้เงินทั้งนั้น  อนาคตข้างหน้ามันคงไปไกลกว่าผมอย่างไม่ต้องสงสัย  คิดแล้วน้อยใจตัวเองที่ครอบครัวผมจนยาก ดันเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่  ต้องเผชิญกับเศรษฐกิจที่โหดเหี้ยมเหมือนยักษ์คอยเคี้ยวกลืนชีวิตเราอย่างเลือดเย็น      

แต่บางครั้งชีวิตคนเราเอาแน่เอานอนอะไรไม่ค่อยได้   นึกถึงเพื่อนเก่าคนนี้ขึ้นมาทีไรผมก็อดเศร้าใจแทนไม่ได้   ตอนแรกผมว่ามันน่าจะก้าวไปได้สวยอย่างที่คิด  แต่ทำไปทำมาต้องเลิกเรียนเสียกลางคัน  เพราะมันโดนเด็กอาชีวะคู่อริดักเล่นงานเสียย่ำแย่   ผมยังเสียวสันหลังวาบเมื่อไปเห็นแผลตามหัว ตามแขนของมันตอนไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ไอ้ดำเล่าให้ผมฟังว่ามันกำลังนั่งรถเมล์จะกลับบ้านในตอนเย็น  พอถึงบริเวณห้าแยกปากเกร็ด  รถยังไม่ทันจอดป้ายสนิทด้วยซ้ำ  นักเรียนอาชีวะสี่ห้าคนก็กรูขึ้นมาอย่างกะหมาหมู่  เอามีดไล่ฟันมันกับเพื่อนอีกสองคนแบบไม่ต้องดูหน้าดูตาว่าใครเป็นใคร ขอให้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสถาบันคู่แค้นก็พอ   แต่มันโชคร้ายกว่าทุกคน   เพราะนั่งอยู่เบาะหลังสุด  เจอมีดดาบเข้าเต็มเปาโดยไม่ทันตั้งตัว  ต้องมุดแหวกคนหนีเลือดอาบหน้าลงมาแทบเอาชีวิตไม่รอด   หลังจากออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ไปเรียนต่ออีกเลย  ผมรู้สึกใจหายทุกครั้งเมื่อเหลือบดูมือข้างขวา  นิ้วก้อยของมันขาดหายไปครึ่งหนึ่ง  อันเนื่องมาจากการถูกทำร้ายในวันนั้น   และกลายเป็นคนนิ้วด้วนไปโดยปริยาย  ในที่สุดก็มาวิ่งวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างอยู่แถวปากซอยหน้าโรงเรียน

วันหนึ่งผมกำลังเดินอัดบุหรี่พ่นควันโขมง   ทอดน่องสบายอารมณ์ไปยังร้านเหล็กดัด  เจอครูกรออกมาเดินเกร่อยู่ในซอยโดยบังเอิญ  มือที่คีบบุหรี่อยู่ก็ชักหลบโดยสัญชาตญาณ

“ยังไม่เลิกอีกหรือเรา” ครูกรทักทายผมก่อน 

ผมรีบยกมือไหว้ พร้อมออกปากถาม“ครูมาทำอะไรแถวนี้หรือครับ”

“ออกมาดูเด็กหน่อย  เมื่อวานได้ข่าวว่า นักเรียน ม.ต้นโดนวัยรุ่นมาขู่รีดไถเอาเงินตั้งแต่เช้าเลย  เธอพอรู้เรื่องบ้างไหม?”

ผมฟังเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา“เมื่อวานผมออกสายแล้วก็กลับเข้าบ้านเอาเกือบสองทุ่ม”

“มาถามๆ ดู  เห็นว่าเป็นเจ้าพ่อประจำซอยไม่ใช่หรือ  เผื่อรู้ความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง” แกหยอกเย้าผมเล่นตามสไตล์เดิมในฐานะเคยขาประจำห้องปกครอง           

 “เรื่องไม่ดีพวกนั้นผมทิ้งไว้ที่โรงเรียนหมดแล้วแหละครับ”

“ขอให้จริงเถอะ  จะขออนุโมทนาสาธุ” ครูกรกล่าวสรรเสริญเยินยอแกมประชดประชัน  แล้วยังบ่นอีกว่า “เจ้าเกรียงน้องชายเธอที่เข้า ม.๑ ปีนี้ดูท่าทางไม่เบานะ  ดีไม่ดีฉันต้องปวดกบาลอีกคนเป็นแน่”

  ผมได้แต่ยิ้ม  เห็นแววน้องชายชักออกลีลาเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

“ไม่ลองเรียนนักศึกษาผู้ใหญ่ด้วยล่ะ ดีกว่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ คนมีงานทำเขาเรียนกันถมเถ” ครูกรคุยกับผมอย่างเป็นการเป็นงานด้วยความมีเจตนาดีต่อศิษย์คนหนึ่ง  แนะนำให้ผมเรียนการศึกษานอกโรงเรียนในวันหยุดเสาร์อาทิตย์  เผื่อได้ต่อยอดอนาคตตัวเองให้ก้าวไกลไปอีกขั้น  ซึ่งดูแล้วเป็นทางออกทางเดียวสำหรับคนธรรมดา ที่จะแหวกว่ายให้หลุดพ้นไปจากปลักตมแห่งความจนกับเขาได้บ้าง

ตอนแรกผมคิดจะหันหลังให้กับการเรียนอย่างเด็ดขาด  แต่มาคิดถึงอนาคตข้างหน้า คนเราหากมีความรู้  มีประกาศนียบัตรไว้บ้างน่าจะได้เปรียบกว่าคนอื่นที่ไม่ได้เรียนอะไรเลย   นึกขอบคุณครูกรด้วยซ้ำที่ช่วยชี้ทางให้ผมมองเห็นแสงสว่างของชีวิต   ไม่งั้นเงินค่าจ้างรายเดือนที่ได้มาคงละลายหายไปกับเหล้าเบียร์  การพนัน เที่ยวผู้หญิง หมดไม่มีเหลือ

ผมเอาคำชี้แนะของครูมาตรองตรึกอยู่หลายวัน ลองถามแม่  แม่เออออเห็นดีเห็นงามด้วย  นั่นแหละผมถึงไปสมัครเรียนต่อการศึกษานอกโรงเรียนจนกระทั่งจบระดับชั้นม.ปลาย   ปีถัดมาผมได้งานใหม่เป็นพนักงานโรงงานทำเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่งย่านนนทบุรี   และสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเปิดในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับสายงานไปพร้อมๆ กัน    

หน้าที่การงานของผมก็ได้รับเลื่อนสูงขึ้นไปตามลำดับ  หลังจากได้ปริญญาตรีมาพ่วงท้ายใบหนึ่ง  พอยืดอกยืดคอกับเขาได้บ้าง          

 จู่ๆ วันหนึ่งผมได้รับข่าวร้ายจากไอ้ดำเพื่อนเก่าว่าครูกรโดนวัยรุ่นดักแทงที่หน้าประตูโรงเรียน  ผมซักมันอยู่พักใหญ่จนกระทั่งได้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไร  ผมจึงออกไปเยี่ยมครูที่โรงพยาบาลตามที่มันบอก   โชคดีที่หมอบอกว่าครูแค่ได้รับบาดเจ็บไม่ถึงขั้นสาหัส เพราะคมมีดไม่ถูกอวัยวะที่สำคัญ 

ครูกรนอนตาปรืออยู่บนเตียงห้องคนป่วยหลังจากหมอทำแผลเรียบร้อยแล้ว แกลำดับความเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย       

“…..ตอนนั้นครูทรุดงอลงไปนั่งยองๆ อยู่กับพื้น เจ้าดำขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมาพอดี  เขาเห็นเลือดสีแดงสดไหลออกมาเปื้อนเปรอะเสื้อตรงบริเวณหน้าท้อง  เขาจอดรถแล้วรีบประคองครูขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์  ลัดเลาะซอยออกไปส่งที่โรงพยาบาลใกล้แม่น้ำ  ไม่ได้เจ้าดำ ครูก็คงแย่เหมือนกัน  เขายังให้การเป็นพยานกับตำรวจอีกว่าเห็นวัยรุ่นสองคนขี่มอเตอร์ไซค์พุ่งสวนไปแล้วขว้างมีดเข้าพงหญ้าหลังเกิดเหตุ  ตำรวจเลยเก็บไว้เป็นหลักฐาน  เพื่อเอาไปสืบสวนสอบสวนให้ถึงต้นตอ  ครูยอมรับว่าชะล่าใจไปหน่อย  เพราะมีคนโทรศัพท์มาที่ห้องปกครองบอกว่าเด็กนักเรียนกำลังมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียน  ครูเลยรีบออกไประงับเหตุ  พอเดินพ้นประตูโรงเรียนไปได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้นแหละ  มีวัยรุ่นคนหนึ่งพรวดออกมาจากข้างกำแพง  พุ่งเข้าประชิดตัว  มารู้อีกทีก็โดนมีดปลายแหลมเสียบเข้าให้แล้ว”    

นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน…. ผมรู้ว่าครูเกษียณอายุราชการปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา  ก็ถือโอกาสเข้าไปอวยพรแสดงมุทิตาจิตต่อครูเก่าที่ผมเคารพรัก  ผมกับไอ้ดำนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะในงานเลี้ยงบนหอประชุมของโรงเรียน  ท่ามกลางแขกเหรื่อระดับผู้หลักผู้ใหญ่และเพื่อนฝูงรุ่นพี่รุ่นน้องหลากหลาย ซึ่งเติบโตในหน้าที่การงานแตกต่างกันไปตามระดับการศึกษา

  ช่วงนั่งกินเลี้ยงเจอหน้าเพื่อนเก่าก็ขุดคุ้ยเรื่องสารพัดเรื่องมาคุยโม้กัน บ้างก็สนุกกับการนินทาครูอาจารย์เก่าๆ กันตามประสา  โดยเฉพาะครูกรคนเดียวก็พูดกันได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีวันจบ มีทั้งเรื่องขำ เรื่องร้ายสารพัด  ช่วงหนึ่งครูลุกจากโต๊ะใหญ่เดินมาทักทายพวกเราอย่างเป็นกันเอง  สีหน้าท่าทางไม่มีมาดดุๆ ให้เห็นอีกแล้ว  เหลือแต่แววแห่งความเมตตาฉายชัดอยู่เต็มเปี่ยม  ภาพที่ครูถูกแทงเมื่อหลายปีก่อนยังไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ   ทุกคนต่างทราบกันดีว่าคดีนั้นตำรวจจับตัวได้ในตอนหลัง  ที่แท้คนร้ายเป็นเด็กที่ถูกออกจากโรงเรียนในข้อหาหลอกลวงนักเรียนหญิงออกไปข่มขืนกระทำชำเราจนเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์แบบฉาวโฉ่   ครูกรย้อนอดีตเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้เราฟังเหมือนทบทวนรอยแผลเก่าที่ได้รับตอบแทนจากลูกศิษย์เนรคุณ  พลางตบไหล่ผมกับไอ้ดำ

“ดีนะ ที่พวกเธอไม่ได้ออกไปเป็นขยะสังคม”

            ผมระบายยิ้มด้วยความอิ่มเอิบใจ   หากไม่เชื่อคำชี้แนะของครูในวันนั้น  ผมก็คงเป็นกุ๊ยประจำซอย หรือไม่ก็เข้าไปอยู่ในเรือนจำแล้วก็ได้  เพราะเพื่อนผมบางคนที่พัวพันกับยาเสพติดมาตั้งแต่สมัยเรียนก็วนเข้าวนออกอยู่แถวคุกเหมือนถูกเรียกขึ้นห้องปกครองครั้งกระโน้นไม่มีผิด

            “กระถางช้างกระของแม่เธอยังอยู่นะ ครูรักษาไว้อย่างดี มันยังแขวนอยู่ข้างห้องปกครอง เหมือนเดิม” ครูกรเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเหมือนทบทวนความหลัง

            หัวใจผมกระตุกเยือกเมื่อนึกถึงช้างกระที่แม่มอบให้ครูกร ก่อนบอกความจริงบางอย่างให้ครูรู้ว่าแม่ผมจากไปสักสองปีที่ผ่านมา  เป็นมะเร็งลำไส้  รักษาตัวกันจนสุดความสามารถแล้ว  แต่ไม่อาจยื้อชีวิตเอาไว้ได้ “ขอโทษด้วยครับครู ผมไม่ได้มาบอกเรื่องนี้ให้ทราบตอนแม่เสีย”

            หากแม่อยู่ตอนนี้ แม่คงยิ้มด้วยความดีใจ   

—————————————————————————————————————————————————

เนชั่นสุดสัปดาห์: มีนาคม  2553


ใส่ความเห็น

หมวดหมู่