ข่าวเออร์ลี่รีไทร์รอบใหม่แว่วเข้าหูมาหลายวันแล้ว นับว่าเป็นข่าวดีที่หอมหวนยวนใจไม่น้อยสำหรับข้าราชการอาวุโสอย่างผม คราวที่แล้วผมอายุราชการไม่ครบยี่สิบห้าปี เลยหมดสิทธิ์ยื่นขอเกษียณ แต่คราวนี้เงื่อนไขครบทุกอย่างทั้งอายุจริงและอายุงาน เพื่อนครูหลายคนในโรงเรียนต่างฝันที่จะออกไปใช้ชีวิตอย่างสงบในบั้นปลาย อีกใจหนึ่งก็ฝันถึงโบนัสก้อนโตนั้นด้วย
ผมจำได้ว่าคนแรกในโรงเรียนที่ประกาศเปรี้ยงปร้างขอเกษียณก่อนใครเห็นจะเป็นอาจารย์เคนนั่นเอง แต่ครูส่วนใหญ่ในโรงเรียนมักเรียกว่า “ป๋า”กันจนติดปาก
“ออกแน่ คราวนี้” อาจารย์เคนย้ำหนักแน่น
ผมเองก็ฝันถึงโอกาสนี้มานานแล้ว รู้สึกเบื่อหน่ายความจำเจในชีวิตราชการเต็มที อยู่ไปก็แค่นั้น มีแต่การแบ่งพรรคแบ่งพวก ชิงดีชิงเด่นกันไม่สิ้นสุด งานสอนก็หนัก แถมเงินเดือนก็น้อยนิด
“ออกแน่นะป๋า” ผมกรากเข้าไปจับมืออาจารย์เคนเพื่อยืนยันความแน่ชัด
“ชัวร์ คราวนี้ไม่พลาด เบื่อสอนเด็กจะตายอยู่แล้ว” ป๋ายืนกรานแข็งขัน
“ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องเขียนแผนการสอน หรือต้องรบรากับเด็กอีก”
“ความจริงป๋าน่าจะเออร์ลี่ฯ ตั้งแต่เที่ยวก่อน จะได้ออกไปนอนตีพุงเล่นอยู่กับบ้านให้สบายอารมณ์” อาจารย์สาวคนหนึ่งแซวเล่น เพราะเห็นว่าป๋าเป็นคนมีอารมณ์ดี พูดเล่นพูดหัวกับครูคนไหนก็ได้ในโรงเรียน ยิ่งคุยเรื่องลามกสองแง่สองง่ามด้วยแล้ว ป๋าถนัดนัก แถมยังชักเอานิทานสัปดนพิลึกพิลั่นออกมาเล่าให้อาจารย์สาวๆฟังได้อย่างไม่กระดากปาก
“ออกได้ที่ไหนเล่าตอนนั้น คำนวณเงินบำนาญแล้วได้ไม่เท่าไหร่ ออกไปก็กินแกลบ” ป๋าเป็นคนตรงไปตรงมาชอบพูดจาโผงผาง ติดปากคำว่า “กู”เป็นนิจสิน ไม่มีใครห้ามได้ บางทีกับเด็กก็เผลอหลุดออกไปบ้างเหมือนกัน ดีที่ว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ถือสาหาความ เพราะเข้าใจป๋าดี ข้อสำคัญคือป๋าเป็นคนไม่ขี้เหนียวคะแนน ใครเรียนไม่เรียนหรือนั่งหลับนั่งหาว ป๋าให้เกรดสี่แทบยกห้อง ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีเด็กคนไหนบ่นด่าว่าป๋าได้ลงคอหรอก แม้แกจะพูดหยาบคายไปบ้างหรือในบางวันบางคาบป๋าจะเอากลิ่นเหล้าเข้ามาในห้องสอนด้วยก็ตาม
“ว่าแต่ตอนนี้ก็เถอะ เงินบำนาญมันจะพอค่าเหล้ารึเปล่า” คนพูดคนเดิมรีบเดินหนีหลังจากแซวกันพอหอมปากหอมคอ ป๋าได้แต่ยืนยิ้มอย่างรู้ทัน
ผมเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า ถ้าป๋าออกไปอยู่บ้านจริงๆ ชีวิตคงเซ็งน่าดู แน่นอนความเหงาก็จะเข้ามาเยือน และไม่พ้นต้องเอาขวดเหล้าเป็นเพื่อนปลอบใจทุกเย็น เพราะไม่ได้เจอหน้าเจอตาเพื่อนฝูงเก่าๆที่เคยคบหากันเป็นประจำ ดีไม่ดีอาจหงุดหงิดหาเรื่องทะเลาะกับเมียหนักขึ้นไปอีก
ทุกคนทราบดีว่าเมียป๋าเป็นครูเหมือนกัน แต่อยู่คนละโรง แถมยังดุอีกต่างหาก มีอยู่ครั้งหนึ่งป๋าไปหลีครูสาวในหมวดภาษาต่างประเทศซึ่งย้ายมาใหม่ ถึงขั้นนั่งรถออกไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ จนเพื่อนครูเอาไปซุบซิบนินทากันสนุกปาก ข่าวนี้ปลิวไปเข้าหูเมียของแกตอนไหนก็ไม่รู้ หล่อนเป็นเดือดเป็นแค้นถึงกับบุกมายืนเท้าสะเอวด่าครูสาวคนที่ว่าถึงหน้าห้องสอนจนเด็กนักเรียนพากันแตกตื่นนึกว่าเขาจะฆ่าจะแกงกัน โชคดีที่มีครูห้องข้างเคียงออกมาห้ามทัพไว้ทันไม่งั้นเรื่องคงฉาวโฉ่บานปลายไปถึงหูผู้อำนวยการแน่นอน
แต่ถึงยังไงป๋าก็ยังเป็นป๋าอยู่นั่นแหละ ไอ้เรื่องจะให้เลิกกินเหล้าเลิกเจ้าชู้เห็นทีจะยาก นี่ขนาดเฉียดๆหกสิบเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมเลิกราสักที
หลังจากระเบียบการเรื่องเกษียณมาถึงโรงเรียน ผมกับป๋าเอามานั่งอ่านและศึกษารายละเอียดกันอย่างถี่ถ้วน พลางคิดคำนวณตัวเลขเงินบำเหน็จบำนาญว่าจะได้รับกันคนละเท่าไหร่ รวมไปถึงเรื่องโบนัสพิเศษที่รัฐบาลแถมให้สิบห้าเท่าของเงินเดือนอีกต่างหาก ผมไม่แน่ใจว่าป๋าจะชอบใจกับตัวเลขดังกล่าวหรือเปล่า แต่สำหรับผมถือว่าพอใจสุดๆ…คราวนี้แหละจะได้เอาไปปลดเปลื้องหนี้สินที่ค้างคาไว้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ครูให้หมดๆไปเสียที ส่วนที่เหลือก็จะเก็บเอาไว้กินไว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิต…
อีกอย่างตอนนี้ผมก็พอเบาใจไปบ้างแล้ว เพราะลูกสาวคนโตเรียนจบและได้งานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง เหลือแต่ลูกชายอีกคนที่ยังเรียนอยู่ชั้น ม. 6 ซึ่งผมยังอดเป็นห่วงเป็นใยไม่ได้ จริงๆแล้วผมไม่ได้ห่วงลูกอย่างเดียวหรอก แต่ยังห่วงเงินในกระเป๋าผมจะละลายหายไปกับค่าเรียนกวดวิชาครั้งละหลายพันบาทมากกว่า เวลาลูกมาขอค่าเรียนทีไรผมสะดุ้งเฮือกทุกที เพราะแต่ละวิชามันแพงหูฉี่
ผมมาใคร่ครวญเรื่องเออร์ลี่รีไทร์ดูแล้วก็ได้ข้อสรุป จึงนำไปบอกกล่าวให้เมียรับรู้
“ดีมั้ยล่ะถ้าพี่ออก” ผมขอความคิดเห็น
แทนที่เมียผมจะคัดค้าน เธอกลับเห็นดีเห็นงามไปเสียอีก
“ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยกันขายของ ไม่ต้องปวดหัวกับเด็ก” เมียผมมองเห็นประโยชน์ไปอีกทาง หวังได้พึ่งแรงงานจากผมบ้าง เพราะหล่อนเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้าแถวๆหน้าห้างใกล้บ้าน รายได้ส่วนหนึ่งที่หล่อเลี้ยงครอบครัวให้ลื่นไหลอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเงินที่ได้มาจากการขายของพวกนี้แหละ หากหวังแต่เงินเดือนผมเพียงอย่างเดียวมีหวังต้องขุดรากไม้มาต้มกินต่างข้าวแน่ๆ
วันหนึ่งในช่วงที่มีการยื่นใบขอเกษียณฯนั่นเอง ผมนึกแปลกใจว่าทำไมผู้อำนวยการถึงเรียกผมเข้าไปพบเป็นการส่วนตัว
“นั่งสิ” ผู้บังคับบัญชาเชิญให้ผมนั่งบนโซฟาทันทีที่ผมผลักบานประตูปะทะแอร์เย็นฉ่ำเข้าไปในห้องทำงานอันโอ่โถง
“มีอะไรหรือครับท่าน” ผมตั้งคำถามด้วยความสงสัย
ผู้อำนวยการ ซึ่งอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับผมยิ้มพราย “อยากคุยเรื่องเออร์ลี่ฯกับอาจารย์สักหน่อย ถามจริงๆเถอะจะออกจากครูแน่เหรอ”
ผมยิ้มแห้งๆ “ผมตั้งใจไว้นานแล้วครับเรื่องนี้”
“ออกไปแล้วจะไปทำอะไร เป็นครูต่อไปไม่ดีกว่าหรือ”
ฟังๆดูก็เหมือนจะเสียดายไม่อยากให้ผมออก เลยเกลี้ยกล่อมให้สอนหนังสือต่อ อีกอย่างครูฝ่ายปกครองหาคนมาทำแทนยากเสียด้วยซิ เพราะไม่อยากมาทะเลาะกับเด็กแสบๆของโรงเรียน ใครๆก็รู้เด็กเดี๋ยวนี้กลัวครูเสียที่ไหนเล่า
“สุขภาพผมชักแย่แล้วครับทุกวันนี้” ผมพยายามถูๆไถๆเอาสังขารตัวเองเข้าอ้าง “พักนี้ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลตรวจเช็คร่างกายกันเป็นประจำทุกเดือน”
ผู้อำนวยการทำหน้ากรุ้มกริ่ม “เอานา ผมให้เวลาคุณไปคิดอีกคืน ยังไงๆค่อยมาบอกให้ผมทราบวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน รู้ไว้ด้วยว่านโยบายนี้เขาต้องการให้คนแก่ๆหรือพวกทำงานไม่เอาไหนออกต่างหาก คุณยังมีประโยชน์ต่อเด็กต่อโรงเรียนอยู่นะ”
ไม่น่าเชื่อว่าผมโดนลูกยอเข้าไปเต็มๆ ผมยกมือไหว้ผู้อำนวยการก่อนเดินออกมาจากห้องนั้น นึกฉงนใจที่ผู้บังคับบัญชายกย่องให้เกียรติผมจนเกินเหตุ…แหมทีอย่างนี้ละก็มีคุณค่าขึ้นมาเชียวนะ แต่พอเรื่องสองขั้นกลับไม่เห็นหัว…
ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ผมเจอหน้าป๋า เลยเล่าเรื่องที่ผู้อำนวยการเรียกเข้าพบให้ฟัง
“เฮ้ย จะมายับยั้งกันได้ยังไง มันเป็นสิทธิของเรา โอกาสงามๆอย่างนี้ไม่ใช่หาได้ง่ายๆนะจะบอกให้” ป๋าโวยวายแทนผม เมื่อรู้ว่าผอ.ขอร้องไม่ให้ผมเกษียณ
“นั่นสิ ผมเลยคิดหนักเลยตอนนี้ จะออกดีหรือว่าอยู่ต่อดี”
ผมได้แต่บ่นให้ป๋าฟังไปยังงั้นเอง แต่ส่วนลึก มั่นอกมั่นใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใส่เกียร์ถอยหลังเด็ดขาด
แต่พอถึงวันรุ่งขึ้น ผมเดินผ่านไปทางห้องธุรการ เหลือบไปเห็นป๋านั่งยิ้มแฉ่งอยู่ก่อนแล้ว ผมถึงกับอึ้งแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อป๋าบอกความจริง
“กูเปลี่ยนใจแล้วนะ ขอถอนชื่อไม่ยื่นเรื่องแล้วล่ะ ” ป๋าชี้แจงเหตุผล “คิดแล้วไม่คุ้ม”
“เรื่องเงินหรือว่าอะไรป๋า” ผมยังงงๆและสงสัยกับการเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของแกเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะพลิกผันออกมาอย่างนี้
“ลองคำนวณดูแล้วเงินที่ได้มีค่าเป็นศูนย์ เป็นครูต่อดีกว่า” แกแจกแจงสาระสำคัญให้ผมฟัง “ตอนนี้กูเป็นหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูอยู่เกือบล้าน ถ้าออกก็ถูกหักลบกลบหนี้กันหมดพอดี ไม่มีอะไรกิน ทนเอาอีกสักปีสองปี เผื่อรัฐบาลจะขึ้นเงินเดือนให้อีกสักครั้ง”
ในวันต่อมา ข่าวที่ป๋าเปลี่ยนใจขอถอนชื่อออกถูกนำไปพูดซุบซิบนินทากันในหมู่เพื่อนครูด้วยกันอย่างสนุกปาก
“สงสัยไม่ใช่เรื่องหนี้เรื่องสินหรอก คงจะเรื่องเมียก่งเมียเก็บแกต่างหาก” เพื่อนครูคนหนึ่งแซวป๋าเล่นไปตามเรื่องตามราว
“อ๋อ ไอ้คนที่อยู่ร้านเสริมสวยนั่นใช่มั้ย นึกอยู่แล้ว เห็นนั่งรถเก๋งอีแก่ป๋ามากินก๋วยเตี๋ยวเรือหน้าโรงเรียนบ่อยๆ ที่แท้ก็โคแก่เคี้ยวหญ้าอ่อนนี่เอง” ผมนึกถึงหญิงสาวอายุคราวลูก ซึ่งป๋าเคยแนะนำให้ผมรู้จักโดยบังเอิญที่ร้านก๋วยเตี๋ยวดังกล่าว
“ถ้ายังเป็นครู มาทำงานมีโอกาสแวบไปหาใครที่ไหนก็ได้ไม่มีใครรู้ แต่ถ้าอยู่บ้านนี่สิลำบากหน่อย เวลาจะออกไปไหนทีเมียก็ต้องคอยสอบถาม คอยจู้จี้จุกจิก ยิ่งกลับดึกดื่นยิ่งแล้วใหญ่” เพื่อนครูคนเดิมนั่นแหละอ้างเหตุผลได้น่าฟัง
เพราะเป็นที่รู้กันทั้งโรงเรียนแหละว่าป๋าแอบไปมีสัมพันธ์รักกับนักร้องสาวที่เช่าคอนโดฯอยู่ใกล้ๆโรงเรียน
ในขณะเดียวกันผมไม่สงสัยแล้วว่า ทำไมเงินเดือนของป๋าแต่ละเดือนหายไปไหนหมด จนพักหลังต้องวิ่งกู้ฉุกเฉินสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกันอุตลุด แถมยังลามปามไปกู้เงินนอกระบบดอกเบี้ยโหดมาใช้อีกต่างหาก ยิ่งเพิ่มหนี้สินให้ตัวเองออกไปบานเบอะ
ผมกับเพื่อนครูที่ขอเออร์ลี่รีไทร์รอเรื่องอยู่เพียงเดือนเดียวก็รู้ผล ทุกคนได้รับอนุมัติหมด ยกเว้นป๋าคนเดียวเท่านั้นที่ถอนชื่อตัวเองออกเสียก่อน ก็เลยต้องเป็นปู่เฝ้าโรงเรียนต่อไปอีกสองปีถึงจะครบหกสิบตามกำหนดเกษียณอายุราชการจริง
วันหนึ่งผมนึกเหงาๆก็ขับรถเข้าไปโรงเรียน เพื่อเยี่ยมเยียนเพื่อนครูด้วยกัน เจอป๋าเข้าคนแรก เลยไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกันตามธรรมเนียม คุยไปสักพักป๋าก็ระบายความในใจออกมาให้ผมฟังอย่างหมดเปลือก
“กูคิดผิดว่ะ….”
“เรื่องอะไรป๋า” ผมเองก็ชักสงสัย
“ไม่น่าถอนชื่อเรื่องเกษียณก่อนกำหนดเลยวันนั้น ดูสิตอนนี้ผอ.ให้กูไปทำหน้าที่เป็นฝ่ายปกครอง มึงเอ๋ย วันๆมีแต่เรื่องยุ่งหัว เจอเด็กแสบๆทั้งนั้น เซ็งจะบ้าตาย”
แกบ่นระงม เมื่อมาเจองานหนักเอาตอนแก่ ความจริงน่าจะเป็นช่วงที่ได้พักผ่อนนอนตีพุงเล่นอยู่ที่บ้าน กินบำนาญเล็กๆน้อยๆก็ยังดี
ผมมานึกอีกที กรรมเวรมีจริง ก่อนนั้นป๋าทิ้งคาบสอนออกไปกินเหล้าติดลมอยู่ข้างนอกเป็นประจำ เมื่อครูขอเออร์ลี่ฯออกไปหลายคน ขาดคนทำงาน ป๋าเลยได้รับตำแหน่งใหม่ให้มาทำหน้าที่เป็นครูปกครองแทนผม
ผมนั่งคุยอยู่ที่โต๊ะทำงานป๋าอยู่พักใหญ่ ก็ขอตัวจะไปเยี่ยมครูคนอื่นต่อ ป๋าบอกผมว่าอย่าเพิ่งรีบกลับ จากนั้นแกก็ก้าวอาดๆไปสั่งงานให้เด็กทำตามสไตล์เดิม แล้วชวนผมออกไปข้างนอก
“เดี๋ยวออกไปหาอะไรกินกันสักหน่อย”
ผมรู้โดยทันทีว่าแกต้องการชวนผมไปกินเหล้าอย่างแน่นอน ครั้นผมจะปฏิเสธก็ใช่ที่ ตัวเองก็ชักเปรี้ยวปากอยู่เหมือนกัน นานแล้วไม่ได้กินเหล้ากับป๋า
มาถึงร้านอาหารในซอยที่เราเคยนั่ง ว่าแล้วป๋าก็สั่งเหล้าพร้อมกับแกล้มจานโปรดมาตามระเบียบ แล้วก็เริ่มระบายความทุกข์ใจออกมาอีกระลอก
“เมื่อสองวันก่อนกูทะเลาะกับเมียมาว่ะ”
ผมตีหน้าเศร้าทำทีเป็นทุกข์เป็นร้อนไปกับแกด้วย “อ้าว เป็นยังไงละป๋า”
“ก็เมียจับได้ว่ากูไปมีอีหนูไว้ที่คอนโดฯนะซี ซวยชิบเป๋งเลย”
“ฝีมือระดับป๋าไม่น่าพลาด” ผมพยายามใส่ลูกหยอดเข้าไปเต็มๆ
“คงมีใครซักคนโทร.ไปบอกแน่ๆเลย ไม่งั้นมันไม่มาดักกูที่คอนโดตั้งแต่เช้าหรอกวะ” แกเล่าต่อ คั่นด้วยจังหวะกระดกเหล้าลงคอเอื๊อกใหญ่ “กูก็บอกว่ามานอนเวรกลางคืนที่โรงเรียน เมียมารู้ตอนไหนก็ไม่รู้ว่า บังเอิญคืนนั้นไม่ใช่เวรกู มันโทร.มาถามภารโรงที่โรงเรียน แล้วตามมาอาละวาดที่คอนโดฯจนต้องเผ่นกันคนละทิศคนทาง แค่นั้นยังไม่พอ วันรุ่งขึ้นมันยังมาฟ้อง ผอ.อีกต่างหาก กูเลยถูกผอ.เรียกเข้าพบตักเตือนเรื่องความประพฤติ ดีไม่ดีปีนี้ถูกแป้กขั้นเงินเดือน”
ผมทั้งขำทั้งเป็นห่วงเส้นทางชีวิตครูของป๋าที่ต้องมาคดงอเอาตอนแก่
“แล้วเด็กป๋าละ เคลียร์กันยังไง” ผมถาม
“โธ่ คิดว่ามันจะเห็นใจเราบ้างที่ไหนได้อุตส่าห์จ่ายค่าเช่าคอนโดฯให้อยู่ ซื้อมือถือให้ใช้ อะไรๆก็เอื้อเฟื้อเจือจุนทุกอย่าง มันเสือกมาหา ผอ.เหมือนกัน บอกว่ากูหลอกมัน ผอ.เองก็กลุ้มไม่รู้จะตัดสินเรื่องนี้ยังไงดี ซวยไปกว่านั้นอีก เมียให้กูเตรียมขนเสื้อผ้าไปอยู่ที่อื่นแล้วขอหย่านี่สิ กูยังเจ็บกระดองใจไม่หาย”
ผมเห็นสีหน้าของป๋าเป็นสีหน้าของคนทุกข์หนัก เมื่อชีวิตเจอมรสุมรักมารุมเร้าเอาตอนบั้นปลายใกล้เกษียณ
“ถ้ารู้อย่างนี้ กูไม่น่าถอนชื่อเลยวันนั้น…เวรกรรมจริงๆ”
ป๋าได้แต่คร่ำครวญกับผมด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ ก่อนขับอีแก่เข้าไปในโรงเรียนด้วยท่าทางหวาดหวั่นในชะตากรรมของตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าจะลงเอยอย่างไร
สกุลไทย (ในนามปากกา “ สน สมิหลา”)
ใส่ความเห็น