ขณะที่โลกกำลังก้าวไกลไปข้างหน้า การพัฒนาวิทยาการใหม่ๆทางด้านวิทยาศาสตร์ก็ก้าวตามไปอย่างไม่หยุดยั้งเช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้เอง ทางวิทยาศาสตร์ได้มีการค้นพบเรื่องรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ทำให้หลายฝ่ายต่างเกิดความวิตกกังวลกันว่าสังคมมนุษย์เราจะมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางไหนอย่างไร ด้วยสาเหตุดังกล่าวจึงทำให้มีการตื่นตัวในเรื่อง “ชีวจริยธรรม”กันมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เกิดมีแนวความคิดหลากหลายถูกหยิบยกมาถกเถียงวิพากย์วิจารณ์กัน แต่ก็ยังหาข้อสรุปที่ลงตัวไม่ได้ ส่วนใหญ่ต้องการให้นักวิทยาศาสตร์และสังคมมีความเข้าใจในแนวเดียวกัน นั่นหมายความว่า หากนักวิทยาศาสตร์ทำการวิจัยพันธุกรรมแล้วจะต้องไม่ก่อความเดือดร้อนให้กับสังคมจนเกินไป และที่สำคัญเหนือไปกว่านั้นก็คือต้องทำให้ประชาชนทั่วไปรับรู้ในความรู้ใหม่เหล่านี้ว่าสามารถนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
ทั้งนี้เพราะความรู้ทางด้านพันธุกรรมจะนำไปสู่การคัดเลือกพันธุ์มนุษย์คือสามารถเลือกลูกได้ตามที่ต้องการ เช่นเลือกว่าฉลาด ไม่ฉลาด ตัวเตี้ย ตัวสูง ไม่มีโรคภัย ผิวพรรณ หน้าตา หรือลักษณะต่างๆที่พ่อแม่อยากให้เด็กสมบูรณ์แบบตามที่ตัวเองต้องการ ผิดกับผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติ ซึ่งไม่มีสิทธิไปกำหนดกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น เกิดมาอย่างไรก็ต้องยอมรับสภาพเช่นนั้นไปจนวันตาย
การกำหนดการเกิดของมนุษย์ ก็เหมือนกับเป็นการฆ่าชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ไปในตัว โดยการนำพาเซลล์ต้นตอนั้นมาใช้ประโยชน์ ตัวอ่อนก็จะต้องตาย ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงกันว่าการทำเช่นนี้เป็นการฆ่าชีวิตหรือไม่ ต่างคนต่างแสดงความคิดเห็นออกมาไม่ตรงกัน ฝ่ายหนึ่งบอกว่าเป็นการฆ่า แต่อีกฝ่ายบอกว่าไม่ได้ฆ่า เพราะชีวิตยังไม่ได้เริ่มต้น ต้องรอหลังจากนั้นอีกระยะหนึ่ง และหลังจากผสมพันธุ์กันโดยสมบูรณ์แล้วจึงจะก่อเกิดเป็นชีวิต
แน่นอนประเด็นที่อยู่ในหัวข้อโต้เถียงเหล่านี้ มีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านศาสนา เกิดกระแสของคำถามสวนกลับออกมาว่า กรณีการตัดแต่งพันธุกรรม ไม่ผิดหลักศาสนาหรือหลักศีลธรรมของมนุษย์ดอกหรือ เพราะในขณะนี้ ไม่ว่าศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม หรือแม้แต่ศาสนาพุทธ ก็มีความเคลื่อนไหวและวิพากษ์วิจารณ์กันมากพอสมควร ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ขณะเดียวกันในแต่ละศาสนาต่างก็ตีความในเรื่องปฏิสนธิไม่ตรงกัน ทางศาสนาคริสต์เห็นว่าชีวิตเริ่มต้นเมื่อมีปฏิสนธิ และห้ามแทรกแซงกิจกรรมระหว่างบิดามารดาใดๆทั้งสิ้น แม้แต่การปฏิสนธิในหลอดแก้วก็กระทำไม่ได้ จะอนุโลมบ้างก็คือให้เกิดปฏิสนธิในร่างกายมารดาได้ แต่มิใช่กระทำข้างนอกแล้วนำกลับเข้าไปฝังตัว ในทางศาสนาอิสลามบอกว่าชีวิตที่ปฏิสนธินั้นยังไม่มีวิญญาณจนกว่าจะถึง 120 วัน เพราะฉะนั้นในช่วงนี้จึงทำแท้งได้ แต่ทัศนะที่ไม่เห็นด้วยก็มีเช่นกัน คือส่วนหนึ่งยอมรับที่วิทยาการใหม่ๆเข้ามามีบทบาทเปลี่ยนแปลงสังคมมนุษย์ แต่อีกส่วนหนึ่งยังยืนยันอย่างแข็งขันว่าเป็นการขัดหลักศาสนา ถือว่าทำไม่ได้เลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ทางด้านวิทยาศาสตร์หรือทางการแพทย์ ยิ่งต้องมีความระมัดระวังในปัญหาดังกล่าวนี้ให้มากขึ้น คือต้องคำนึงถึงคุณธรรม โดยไม่ทำร้าย หรือทำอันตรายต่อสัตว์หรือมนุษย์เพื่อการศึกษาหรือวิจัย ต้องตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์ ไม่ให้ขัดต่อหลักกฎหมายและนโยบายการอนุรักษ์ป่า ทั้งนี้เพราะสัตว์ก็เปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์
ดังนั้นปัญหาทางด้าน “ชีวจริยธรรม” ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในเวลานี้ก็คือการโคลนนิ่งมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวข้อที่กำลังถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีผลกระทบต่อด้านศีลธรรมและสังคมมนุษย์ เพราะมนุษย์ที่ถูกโคลนนิ่งออกมาจะไม่มีพ่อแม่ที่แท้จริง อาจจะมีบุคลิคหรือนิสัยใจคอแตกต่างกันออกไป แม้รูปร่างหน้าตาจะเหมือนกับบุคคลเจ้าของเซลล์ต้นกำเนิดก็ตาม แต่อาจก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสังคมในวันข้างหน้าก็ได้
ถ้าพูดถึงในวงการแพทย์แล้ว การโคลนนิ่งยิ่งนับวันจะได้รับประโยชน์มากขึ้น โดยมีเป้าประสงค์เพื่อนำอวัยวะไปทดแทนในผู้ป่วย แต่ก็เป็นปัญหาทางสังคมตามมาที่ว่ามนุษย์โคลนมีอวัยวะไม่ครบ โดยเหตุผลดังกล่าวนี้เอง ทุกประเทศทั่วโลกจึงห้ามการโคลนนิ่งมนุษย์ แต่ถึงกระนั้นในบางประเทศก็ได้ร่างกฎหมายเกี่ยวกับชีวจริยธรรมขึ้นมา เพื่อขออนุญาตใช้ตัวอ่อนมนุษย์ในการทำวิจัย เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ จีน และ ญี่ปุ่น
เดิมทีปัญหาเรื่องทำแท้งก็ป็นปัญหาใหญ่ทางด้านสังคมที่สืบเนื่องกันมายาวนาน และยังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ เพราะถือว่าการทำแท้งเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรม เป็นบาป แต่เมื่อไม่นานมานี้ในสหรัฐอเมริกาบางรัฐลงความเห็นว่า การท้องเป็นเรื่องส่วนตัว เด็กในครรภ์เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของสตรี จึงมีสิทธิที่จะเลือกให้เด็กอยู่ในครรภ์จนกว่าจะคลอดหรือไม่ก็ได้ แต่อีกกลุ่มหนึ่งถือว่าเด็กในครรภ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์ ดังนั้นการทำแท้งถือว่าเป็นฆาตกรรมอย่างหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ข้อขัดแย้งดังกล่าวได้รับการอนุโลมออกมาเป็นรูปของกฎหมาย ซึ่งในหลายๆประเทศอนุญาตให้ทำแท้งได้ในสองกรณี กรณีแรกคือ สุขภาพกาย สุขภาพจิตของผู้เป็นแม่ และสุขภาพของทารกในครรภ์ไม่สมบูรณ์ เช่นเป็นโรคชนิดร้ายแรง กรณีที่สอง การที่ผู้หญิงนั้นตั้งครรภ์เพราะถูกข่มขืน เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นการนำเอาเรื่อง “ชีวจริยธรรม”เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
ในความเป็นจริง “จริยธรรม” ก็คือการที่มนุษย์เราดำเนินชีวิตหรือปฎิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจมีผลดีหรือผลร้าย โดยสัมพันธ์กับความจริงของธรรมชาติ และถูกต้องตามทำนองครองธรรมนั่นเอง ส่วนอะไรก็ตามที่ปฎิบัติแล้วก่อให้เกิดผลเสียหาย ไม่สัมพันธ์กับเหตุปัจจัยของธรรมชาติก็ถือว่าขาดจริยธรรม
ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์พึงสังวร นั่นคือ จะต้องไม่ประมาทในเรื่องของการโคลนนิ่งมนุษย์ เพื่อคัดพันธุ์ หรือคัดคนอะไรก็แล้วแต่ จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งอื่นในระบบความสัมพันธ์ของธรรมชาติให้มาก ไม่ใช่มัวแต่หลงใหลได้ปลื้มกับความสำเร็จ แต่ในอนาคตข้างหน้ากลับกลายเป็นผลร้ายต่อมวลมนุษย์อย่างคาดไม่ถึง นักวิทยาศาสตร์อย่าเพิ่งภูมิใจว่าตนเองกำลังชนะธรรมชาติ ความจริงแล้วมนุษย์ยังเอาชนะธรรมชาติยังไม่ได้ เรื่องของโคลนนิ่งก็เป็นการเรียนรู้ความจริงจากธรรมชาติ แล้วนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งเป็นการเลียนแบบกระบวนการของธรรมชาติที่เคยเป็นมาแต่ดั้งเดิมนั่นเอง
จะว่าไปแล้วมนุษย์เราเป็นผู้บันดาลโลกให้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่าสังคมมนุษย์ หรือโลกมนุษย์เป็นไปตามการกระทำที่ประกอบด้วยเจตจำนง คือมีความมุ่งมั่นในการทำอะไร โลกมนุษย์ก็เป็นไปตามการกระทำแบบนั้น
แต่มีข้อพึงระวังอยู่ว่าอย่าใช้เจตจำนงไปในทางที่ผิด เต็มไปด้วยความโลภ ความเห็นแก่ตัว หรือเอาความอยากได้ดีมีชื่อมีเสียงเป็นที่ยกย่องของสังคมอันเรียกว่า “ตัณหา” เข้าไปตัดสินสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่รอบคอบ มันอาจกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อปัญหาติดตามมา เพราะฉะนั้นการจะเลือกทำอะไรนั้นต้องมีเจตนาบริสุทธิ์ มีความปรารถนาดี มีเมตตาธรรมที่แท้จริงต่อเพื่อนมนุษย์หรือต่อสังคมส่วนรวม
อย่างไรก็ตาม การจะทำให้มนุษย์เรามีจิตสำนึกดีได้นั้น สิ่งแรกจะต้องมีการพัฒนาคุณภาพคนก่อน นั่นคือการให้การศึกษาเพื่อสร้างสรรค์สังคม เล็งเห็นความก้าวหน้าของชาติบ้านเมืองที่เดินไปในทิศทางที่ถูกที่ควร คนที่ได้รับการศึกษาดีมีคุณภาพนั้นจะต้องเป็นคนที่มีปัญญาและมีเจตนาดีเป็นหลัก
บางครั้งมนุษย์เราก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม อย่างเช่นในยุคปัจจุบันเรียกว่า ยุควัตถุนิยม มนุษย์มักจะมองเห็นแต่ความโลภ คลั่งไคล้แสวงหากันแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง เรื่องคุณธรรมอันดีงามของจิตใจถูกเหยียบย่ำลงจมดิน มนุษย์ส่วนใหญ่คิดแต่เอาฝ่ายเดียว คนอื่นไม่เกี่ยวขอให้ตัวเองได้ประโยชน์ก็พอ โดยไม่ได้คำนึงถึงระบบนิเวศ หรือต่อสัตว์ทั้งหลาย ธรรมชาติแวดล้อมก็พลอยเสียหาย ดังนั้นมนุษย์ต้องฝึกให้เป็นคนใจกว้าง เห็นแก่ความเป็นอยู่ที่ดีของโลก และความร่มเย็นเป็นสุขของมวลมนุษย์ด้วยกัน
ประเด็นที่เข้ามาเกี่ยวข้องมากที่สุดในเรื่อง “ชีวจริยธรรม” ก็คือเรื่องบุญ-บาป ทางพุทธศาสนา ที่วิทยาศาสตร์มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “ชีวิต” ตรงไหนอย่างไรถึงเรียกว่าเป็นการฆ่าหรือไม่ฆ่า ตรงไหนที่ถือว่าปฎิสนธิเกิดขึ้นหรือยัง
ในทางหลักพุทธศาสนาถือว่า การปฎิสนธิได้นั้นต้องอาศัยความพร้อมของฝ่ายบิดามารดา และมารดาอยู่ในภาวะที่เอื้ออำนวย สัตว์ก็เกิดได้ ตอนนั้นถือว่าชีวิตเริ่มแล้ว ซึ่งเป็นการปฏิสนธิทางวิญญาณ แต่ในทางวิทยาศาสตร์ย่อมเป็นที่ทราบกันว่า การปฏิสนธิโดยไข่กับเชื้อตัวผู้เกิดในท่อรังไข่ ยังไม่ได้ไปฝังในมดลูก ก็แปลว่าสัตว์ยังไม่ได้มาเกิด นี่คือสิ่งที่ขัดแย้งกันอยู่ จะบาปหรือไม่บาป หรือว่าบาปน้อยบาปมาก ย่อมขึ้นอยู่กับเจตนาเป็นสำคัญ เพราะฉะนั้นในทางวิทยาศาสตร์ หรือทางการแพทย์จะต้องยึดหลักในการพิจารณาให้ถ่องแท้ด้วยเหตุด้วยผล แบบเดียวกับการนำสัตว์มาทดลองดังที่ทำกันอยู่ในทุกวันนี้ มนุษย์ย่อมใช้ปัญญาในการตัดสินในการกระทำ คือต้องทำด้วยปัญญา ประกอบกับเจตนาที่ดีที่สุด พิจารณาแล้วได้ประโยชน์มากกว่า และไม่ประมาท ในขณะเดียวกันก็ต้องแสวงหาความรู้และปัญญาให้มากขึ้น เพื่อปรับปรุงพัฒนาในการกระทำครั้งต่อไปให้มีผลดียิ่งๆขึ้น
ดังนั้นการทดลองกับสัตว์ จะต้องอ้างว่า ทำเพราะต้องการช่วยเหลือชีวิตมนุษย์ เป็นสร้างบุญมากกว่าสร้างบาป
การโคลนนิ่งมนุษย์ก็เช่นเดียวกัน เพื่อให้เกิดเป็นชีวิตใหม่ เป็นคนใหม่ ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าผลในภายหน้าจะเป็นอย่างไร จะเป็นมนุษย์ธรรมดา หรือว่าเป็นมนุษย์พันธุ์ประหลาดก็ไม่อาจรู้ได้ แต่อีกประเด็นหนึ่งซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วไป นั่นคือการเอากระบวนการโคลนนิ่งมาสร้างตัวอ่อนใหม่ และไม่ปล่อยให้ตัวอ่อนนี้เติบโตเป็นมนุษย์ แต่จะเอาเซลล์ที่เกิดจากตัวอ่อนนี้ไปรักษาโรค ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเจ้าตัวเอาเซลล์ของตัวเองมาทำกระบวนการที่ว่านี้จนกระทั่งได้เซลล์ต้นตอตัวใหม่ขึ้นมา ก็สามารถเอาเซลล์นี้ไปปลูกถ่ายอวัยวะที่เสื่อมของร่างกายขึ้นมาใหม่ และชีวิตนี้ก็จะถูกทำลายไปเพื่อรักษาชีวิตของเจ้าตัวคนเก่า
การกระทำดังกล่าวนั้นยังยากในการตัดสินลงไปว่าเป็นบาปหรือไม่ เพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าปฏิสนธิจะเริ่มต้นเป็นตัวมนุษย์กันตอนไหนอย่างไร จะตีความกันแบบเคร่งครัดในทางศาสนาหรือจะยึดหลักการและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่แน่ชัด แต่สำหรับผู้เขียนแล้วคิดว่าสามารถทำได้ในบางส่วนแต่ต้องคำนึงถึงการเอื้อประโยชน์ต่อมนุษย์หรือสังคมส่วนรวมให้มากที่สุด ตรงประเด็นนี้เองเราต้องมาทบทวนกันให้ชัดเจนเสียก่อนว่าจะส่งผลร้ายอย่างไรต่อมนุษย์ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเอา “ชีวจริยธรรม” เข้ามาเป็นตัวกลางระหว่างข้อขัดแย้งทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เอาชีววิทยามาใช้ในทางผิดๆหรือทำลายล้างมนุษย์ด้วยกันเอง เช่นการใช้สิ่งมีชีวิตที่ทำให้เกิดโรคระบาดต่อมนุษย์ สัตว์ พืช ที่เรียกกันว่า อาวุธชีวภาพ อย่างนี้ถือว่าผิดในทาง “ชีวจริยธรรม” อย่างรุนแรง
เชื่อเหลือเกินว่าโลกเรายังคงเจริญก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด วิถีชีวิตของมนุษย์ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา วิทยาการใหม่ๆทางด้านการแพทย์เองโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยาศาสตร์ว่าด้วยพันธุวิศวกรรมของมนุษย์ก็ต้องมีการพัฒนาและสร้างสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ ทางกฎหมายบ้านเมืองก็ต้องมีส่วนเข้ามารองรับในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้สังคมอยู่ในระเบียบแบบแผนอันเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าจะทำสิ่งใดลงไปก็ต้องใช้จริยธรรมเข้ามาสร้างเสริมความสมดุล เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียหายในสังคมมนุษย์ซึ่งมีศาสนาเป็นตัวยึดเหนี่ยว
ใส่ความเห็น