เป็นที่ทราบกันดีโดยทั่วกันว่าประวัติความเป็นมาของพระพุทธศาสนาในประเทศไทยนั้น ดำรงอยู่ในสภาพหลากหลายความเชื่อ ตามความศรัทธาของแต่ละกลุ่ม แบ่งแยกแตกแขนงกันออกไป ซึ่งมีทั้งที่เป็นแก่นแท้ และที่เป็นเพียงกระพี้ ผสมผสานกับลัทธิประเพณีหรือตามผลประโยชน์ของสังคมในปัจจุบัน บางครั้งก็ดูขาดเหตุขาดผล แฝงปนไปด้วยการบูชาเครื่องรางของขลังหรือแนวไสยศาสตร์จนไม่น่าเลื่อมใสศรัทธา เหมือนเป็นตัวแปรให้พุทธศาสนามัวหมองลง
แต่เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่พุทธศาสนาในประเทศของเรายังคงดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่น เพราะเรามีนักเผยแผ่หลักธรรมที่โดดเด่นที่สุดท่านหนึ่ง นั่นคือ “พุทธทาสภิกขุ” ซึ่งเป็นความภาคภูมิของคนไทย และเป็นความภูมิใจของโลก ท่านช่วยเปิดแสงสว่างในหลักธรรมให้คนไทยได้มองเห็นทางอันถูกต้องของชีวิต
หลักคิดของพุทธทาสมีเหตุมีผลในแนวเดียวกับแก่นแท้ของพุทธศาสตร์ดังที่พระพุทธเจ้าได้นำทางเอาไว้แล้วเมื่อสองพันกว่าปีก่อน จะเห็นว่าพุทธศาสนานั้นเป็นหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถอ้างอิงและพิสูจน์ได้ ไม่ว่าโลกจะผันแปรไปอย่างไรก็ล้วนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่อธิบายได้ทั้งสิ้น เพราะหลักพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตของมนุษย์เราอันได้แก่การเกิด แก่ เจ็บ ตาย สาเหตุแห่งการเกิดทุกข์และหนทางแห่งการดับทุกข์ ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนแห่งชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งหลีกหนีไม่พ้น
น่าแปลกที่ว่าคนส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ก็ยังเดินทางไปไม่ถึงหลักธรรมอันแท้จริงของพุทธศาสนา มัวไปหลงยึดติดอยู่กับองค์พระพุทธรูป พระสงฆ์ เครื่องรางของขลัง หรือเกจิอาจารย์ชื่อดังจากสำนักต่างๆ กลายเป็นว่าสิ่งเหล่านี้ได้บดบังพระพุทธเจ้าไปหมดสิ้น แต่พระพุทธรูปตามแบบของท่านพุทธทาสคือ “พุทธะ” ซึ่งหมายถึงจิตอันรำลึกแล้ว ถึงพระผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ด้วยธรรมของพระองค์นั้น เพราะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริงหมายถึงภาวะแห่งความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ ฉะนั้นความปรารถนาที่จะพรากจิตออกมาจากเครื่องห่อหุ้ม ผูกพันทุกๆ อย่างนั้น จึงเป็นความปรารถนาที่มีรากฐานแน่นแฟ้นและเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าความปรารถนาที่จะติดแน่นอยู่กับสิ่งเคารพบูชาอันเป็นแค่เครื่องสมมุติ
เป็นที่ทราบกันโดยชัดแจ้งแล้วว่า พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้อริยสัจ คือ “ความจริงอันประเสริฐ” ท่านพุทธทาสชี้ให้เห็นว่า “ความจริงอันประเสริฐ”นั้นหมายความถึง “เท่าที่จำเป็นแก่การพ้นทุกข์” จะเห็นว่าชีวิตเราเมื่อมาพิจารณาดูแล้วเต็มไปด้วยกิเลศตัณหา และจิตใจมีแต่ความสับสนวุ่นวาย มักยึดติดอยู่แต่ในเรื่อง “ตัวกู ของกู” หากเรานำหลักการดังกล่าวมาเป็นเครื่องมือในการกำจัดกิเลสที่มีอยู่ในจิตใจให้บรรเทาเบาบาง ก็เท่ากับฟอกจิตใจให้สงบเยือกเย็นลง ไม่ว้าวุ่นอยู่กับวัตถุนิยมหรือทรัพย์สินเงินทองกลายเป็นคนหลงโลก จนแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนคือความพอดีพองามและสิ่งไหนคือคุณธรรมจริยธรรมที่ควรยึดเหนี่ยว
การกำจัดกิเลสภายในจิตใจเป็นเรื่องจำเป็นต่อชีวิตอย่างยิ่ง นั่นหมายถึงการรู้จักทำจิตให้ว่าง ตามปกติจิตใจของคนเราไม่อยู่นิ่ง ชอบคิดโน่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจำเป็นต้องใช้ “ปัญญา”เป็นตัวกำหนด มี “สติ”เป็นตัวกำกับ และ “สัมปชัญญะ”เป็นตัวกำราบ พูดง่ายๆ ว่าพยายามทำจิตให้ว่างจากกิเลสและความยึดมั่นถือมั่นโดยไร้อวิชชามาครอบงำ
คนเราเมื่อจิตสงบ การทำงานก็เกิดผลสำเร็จมากขึ้น เพราะงานนั้นเดินด้วยปัญญา
ชีวิตจริงในการทำงาน ไม่ว่าจะทำคนเดียวหรือทำร่วมกับคนอื่นเป็นหมู่คณะ อาจมีการกระทบกระทั่งกัน หรือมีความคิดขัดแย้งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ในขณะนั้นจิตใจของเราจะเผชิญกับตัวตนและกิเลส เราต้องรู้จักปราบพยศของมันให้ลดน้อยถอยลง
การทำงานก็เหมือนกับการปฏิบัติธรรม คือได้ทั้งผลงาน และฝึกสติปัญญาไปในตัว ทำให้เกิดความว่างในท่ามกลางความวุ่นด้วยจิตที่กอปรไปด้วยสติปัญญาอันเปล่งปลั่งอยู่ท่ามกลางการงานนั่นเอง
นี่คือแนวทางที่ถือว่าเป็นเคล็ดลับอันวิเศษสุดในพุทธศาสนา และเหมาะอย่างยิ่งที่คนเราควรนำไปยึดถือเป็นแนวปฏิบัติธรรมโดยแท้จริง ทุกวันนี้คนเราต้องวิ่งวุ่นอยู่กับการแสวงหาผลประโยชน์ในทุกรูปแบบ เหนื่อยจิตเหนื่อยใจอยู่กับทรัพย์สมบัติ จิตใจไม่มีวันสงบ เหมือนมีไฟมาเผาลนให้ร้อนรุ่มอยู่ตลอดเวลา นั่นเท่ากับว่าเราเอาจิตใจไปยึดมั่นถือมั่น ย่อมเหนื่อยหนักเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราปล่อยวางเสียบ้างก็จะทำให้จิตใจเบาสบาย ไม่หลงติดกับอยู่ในวังวนแห่งวัตถุมากจนเกินไป
การเรียนรู้ในหลักธรรมก็เท่ากับทำให้เราได้เข้าใจในหลักพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมจิตให้มีความสะอาด สว่าง และสงบอยู่เสมอในทุกอาการและในทุกที่ จนสามารถตอบสนองและกระทำต่อวัตถุหรือสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องถือว่ามีประโยชน์ยิ่งต่อชีวิตตัวเองและต่อเพื่อนมนุษย์
การที่มนุษย์เรารู้จักนำหลักธรรมในทางศาสนามาดับอวิชชาออกไปจากจิตใจได้นั้นย่อมก่อให้เกิดแสงสว่างแห่งปัญญา ดีกว่าคอยรับรู้แต่ข้อมูลผิดๆ มาสู่ชีวิต และเข้าใจอะไรที่บิดเบี้ยวอยู่ตลอดเวลา
ท่านพุทธทาสจึงชี้หนทางให้เราหลุดพ้นในแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาว่า
“…ความปรารถนาในการพรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง จึงเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์ตามหลักแห่งพุทธศาสนา
ใส่ความเห็น